ทั้งนี้ โดยสรุปข้าวที่ คสช.ได้ตรวจสอบทั้งสิ้น 16 ล้านตัน เป็นข้าวที่ผ่านมาตรฐาน 2.35 ล้านตัน ข้าวคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ไม่ใช่ข้าวเสีย สามารถปรับปรุงและขายได้ ประมาณ 13 ล้านตัน ข้าวที่เสื่อมสภาพ 7 แสนตัน
"ข้าวดังกล่าวได้แบ่งเป็นเกรดไว้ คือ เกรดเอ คือขายได้ตามมาตรฐาน เกรดบี คือข้าวที่ต้องมีการปรับปรุง ทำให้ราคาอาจตกลง ข้าวเกรดซี คือจะต้องแจ้งความและดำเนินคดี ซึ่งต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะในส่วนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ(ปปท.) เพราะถือว่าเป็นการปิดบัญชีครั้งสุดท้ายแล้ว" พลเอกประยุทธ์ กล่าว
สำหรับการประมาณการในโครงการรับจำนำข้าว 4 โครงการ หากขายข้าวทั้งหมดแล้วจะขาดทุนที่ประมาณ 6.8 แสนล้านบาท แต่หลังจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้ประเมิน ซึ่งในการดำเนินคดีนั้นจะมีทั้งส่วนของคดีแพ่งและอาญา มีการเรียกค่าเสียหาย ซึ่งยังไม่สามารถสรุปตัวเลขได้ โดยจะต้องดูว่ากระทรวงพาณิชย์สามารถขายข้าวได้เท่าไร และเมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วต้องมีการตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งต้องมีการชี้แจงและตอบโต้ในเรื่องของข้อมูล โดยเฉพาะตัวเลขเรื่องการชดเชยให้กับชาวนา
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการระบายข้าวหลังจากนี้ว่า จะมีทั้งในและต่างประเทศโดยวิธีการเปิดประมูล ซึ่งจะมีการตรวจสอบจากผู้ชำนาญการ โดยมีหลักการว่าการประมูลแบบยกคลัง หากคลังไหนคุณภาพสมบูรณ์ สามารถประมูลได้ทั้งคลัง แต่ถ้าคลังไหนประเภทข้าวไม่สมบูรณ์ให้แยกขายเป็นประเภทๆไป โดยตั้งราคากลางไว้
พร้อมระบุว่าการระบายข้าวครั้งนี้จะไม่กระทบกับข้าวที่กำลังจะออกในฤดูกาลนี้ เพราะการระบายต้องดูระยะเวลาที่เหมาะสม ดูว่าจะขายข้าวในโครงการรับจำนำและข้าวใหม่ในช่วงใด เพราะเราต้องการยกระดับของข้าวใหม่ด้วย ไม่ใช่นำข้าวเก่าออกมาตี จนเกิดข่าวลือต่างๆนานา เป็นผลทำให้ราคาข้าวตกทั้งหมด อย่างไรก็ดี จนถึงวันนี้รัฐบาลมีความมั่นใจในนโยบายเรื่องข้าวที่ดำเนินการอยู่ และเห็นว่าทุกฝ่ายต้องช่วยกันไม่ให้เกิดการทุจริต
ส่วนการระบายข้าวในสต็อกทั้งหมดจะต้องใช้ระยะเวลากี่ปีนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าเร่งขายเร็วเกินไปจะทำให้ราคาข้าวตก ดังนั้นต้องใช้วิธีการระบายข้าวตามความต้องการของตลาดและสภาพข้าวที่มีอยู่ แต่ก็ต้องพิจารณาว่าถ้าเก็บไว้นานก็จะมีผลกระทบในเรื่องคุณภาพข้าว รวมทั้งต้องคำนึงเรื่องค่าเช่าโกดังเก็บข้าวที่มีค่าใช้จ่าย 2 พันกว่าล้านบาท/เดือน อย่างไรก็ดีจะพยายามระบายข้าวให้เสร็จภายใน 3 ปี และจะเพิ่มการค้าภายในประเทศ โดยการเปิดตลาดข้าวในประเทศให้เกษตรกรมาเป็นผู้ขายเอง โดยต้องไปหาวิธีเพิ่มมูลค่าของข้าวในแต่ละชุมชน
"รัฐบาลเข้ามาเพื่อแก้ปัญหา และพยายามสร้างสิ่งดีๆ วันนี้ถือว่าทำได้เร็วที่สุดแล้ว ซึ่งถ้าเปรียบเทียบข้าวไทยกับเวียดนาม ถือว่าสถานการณ์ดีขึ้น เพียงแต่ราคาข้าวของไทยสูงกว่าเวียดนามมาก ทำให้ข้าวไทยขายได้น้อยกว่า และในปี 58 กำลังเป็นช่วงแย่งชิงการเป็นที่หนึ่งของการส่งออกข้าว ซึ่งเวียดนามเองเพิ่งประกาศเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ว่าจะเป็นที่หนึ่งในการส่งออกข้าวให้ได้ แต่เรายังมั่นใจว่าจะรักษาการส่งออกข้าวให้เป็นอันดับหนึ่งต่อไป โดยไม่เน้นปริมาณอย่างเดียว แต่จะต้องมีคุณภาพให้ขายได้ในราคาที่สูงขึ้นด้วย ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า การลงนามใน MOU กับสาธารณรัฐประชาชนจีนวันนี้จะมีอยู่ 2 เรื่อง คือ เรื่องรถไฟ และเรื่องข้าว ซึ่งทางจีนจะซื้อข้าวไทยเบื้องต้นที่ 2 ล้านตัน แต่ทั้งหมดต้องใช้ระยะเวลา และอย่ามองเรื่องการขายข้าวอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือการยกระดับคุณภาพข้าว สร้างความแตกต่าง ปัญหาข้าวไทยที่ล้นตลาดอย่างหนึ่งคือข้าวไม่มีคุณภาพ จึงจำเป็นต้องเร่งยกระดับ รวมทั้งลดปริมาณการปลูกข้าวลง