กลจักรที่1 การส่งออกที่มีสัดส่วนถึง 70% ของจีดีพี ไม่น่าจะขยายตัวมากนักในปี 58 ทั้งๆ ที่การส่งออกปี 57 จะขยายตัวติดลบ ทั้งนี้ เพราะประเทศไทยจะถูกตัดจีเอสพีจากประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (อียู) และอียูไม่ยอมเจรจาเขตการค้าเสรีกับไทย ทั้งนี้ เพราะในปัจจุบันประเทศไทยไม่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก
นอกจากนี้ ผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในประเทศรัสเซีย จะทำให้เศรษฐกิจอียูที่แย่อยู่แล้ว แย่ลงไปอีก ทำให้การส่งออกไปอียูลดลงเพิ่มเติม และการส่งออกไปอเมริกาก็อาจจะถูกกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่จีนมีการเจริญเติบโตลดลงและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังก็ยังไม่ฟื้น ดังนั้นด้วยปัจจัยทั้งหมด การส่งออกของไทยในปี 58 จึงไม่น่าจะขยายได้มากนัก
กลจักรที่2 การท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของไทยปีละกว่าล้านล้านบาท ปรากฏว่าจำนวนนักท่องเที่ยวตกลงมากถึง 7-8% ในปี 57 แทนที่จะขยายตัวตามแผน และในปี 58 ก็ไม่น่าจะดีนัก เนื่องจากการการที่ไทยยังคงกฏอัยการศึก ทำให้ประกันภัยไม่คุ้มครอง นักท่องเที่ยวที่มีฐานะดีและนักท่องเที่ยวไมซ์ที่มาในการประชุมสัมมนาของบริษัทที่ใช้จ่ายสูงจะไม่เดินทางมาประกอบกับวิกฤตการณ์ในรัสเซียจะทำให้นักท่องเที่ยวจากรัสเซียปี 56 ที่มาไทยประมาณ 1.7 ล้านคน และนับเป็นอันดับสามรองจากจีนและมาเลเซียต้องลดลงมาก ดังนั้นรายได้จากการท่องเที่ยวก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมาก นักท่องเที่ยวที่หายไปส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่ฐานะดีมีการใช้จ่ายสูงที่ไม่อยากเสี่ยงกับภาวะการณ์ที่ไม่ปกติของไทยดังนั้นรายได้จะหายไป มากกว่าที่ประเมินไว้มาก
กลจักรที่ 3 การลงทุนจากต่างประเทศน่าจะลดลง เห็นได้จากยอดการส่งเสริมการลงทุนในปี 2557 ที่ลดลงเหลือเพียง 7 แสนล้านบาทจากปี 2556 ที่มียอดประมาณ 1 ล้านล้านบาท และปี 58 ก็อาจจะน้อยลง ทั้งนี้ เพราะภาวะการเมืองที่ไม่มั่นคง การมีข่าวจะเปลี่ยนกฏหมายการทำธุรกิจต่างด้าวก่อนหน้านี้ อีกทั้งหลายบริษัทต่างประเทศที่คาดหวังจะมาลงทุนในไทยเพื่อได้สิทธิจีเอสพีได้ย้ายการลงทุนไปประเทศอื่นที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์แล้ว
กลจักรที่4 การบริโภคภายในประเทศ ยังคงมีแนวโน้มที่ลดลง เนื่องจากราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ตกต่ำเช่น ยางพารา ข้าว อ้อย ทำให้เกษตรกรมีรายได้น้อย การจับจ่ายใช้สอยก็น้อยไปด้วย คนชั้นกลางรายได้ก็น้อยลงจากภาวะเศรษฐกิจ ส่วนคนที่มีรายได้สูงและมีฐานะดีก็มัวแต่ห่วงเรื่องการโยกย้ายทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีมรดกที่กำลังจะออกมาทำให้ไม่มีใจในการจับจ่ายใช้สอยมากนัก จึงทำให้การบริโภคโดยรวมยังไม่ดี
กลจักรที่5 การใช้จ่ายภาครัฐที่หวังกันว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะรัฐบาลมีแผนงานจะดำเนินการเมกกะโปรเจคที่รัฐบาลเพื่อไทยทำไว้ แต่ความจริงคือประสิทธิภาพในการเร่งดำเนินโครงการอาจจะไม่เร็วเท่าที่ควร ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพการดำเนินการอย่างเต็มที่ กว่าเงินจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ก็ต้องใช้เวลานานเช่นกัน และการที่จะคาดหวังว่าจะนำการใช้จ่ายภาครัฐเข้ามาทดแทนรายได้ส่วนอื่นที่หายไปนั้นก็คงจะไม่เพียงพอที่จะทดแทนได้กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจในปี 58 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่จะมีเศรษฐกิจซบเซา โดยไทยอาจจะเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตต่ำสุดในอาเซียนเป็นปีที่ 3 ติดกัน ซึ่งหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้นานๆ ประเทศเพื่อนบ้านก็จะพัฒนาทันไทยและก้าวหน้ากว่าไทยได้ในอนาคต
เมื่อถามว่า อะไรเป็นโจทย์ใหญ่ที่ภาครัฐ ต้องเร่งทำในปี 58 นายพิชัย กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการคือ การที่เศรษฐกิจไทยขึ้นกับต่างประเทศสูงเป็นสัดส่วนเกือบ 100% ของจีดีพี ดังนั้นไทยจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศอย่างเร่งด่วน วิธีที่สร้างความมั่นใจที่ดีที่สุดคือการจะต้องกลับมาสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว ยิ่งมีการเลือกตั้งเร็วเท่าไหร่ เศรษฐกิจไทยก็จะฟื้นตัวเร็วเท่านั้นและเมื่อกำหนดวันเลือกตั้งได้แน่นอนได้แล้ว ก็ควรจะยกเลิกกฏอัยการศึกที่เป็นตัวถ่วงปัญหาการท่องเที่ยวและการลงทุนอยู่ในตอนนี้
นอกจากนี้ การคิดนโยบายใดก็ควรจะไปในทิศทางเดียวกัน การกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่มีการจัดเก็บภาษีและขึ้นภาษีหลายชนิดซึ่งเป็นเหมือนการถ่วงเศรษฐกิจไปด้วย คล้ายกันกับการเหยียบคันเร่งพร้อมเหยียบเบรคที่จะทำให้ไม่ไปไหน เหมือนที่ได้เคยเตือนแล้ว