พล.อ.ฉัตรชัย เปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำความสัมพันธ์ระหว่างไทยและรัสเซียอันดีและยาวนานกว่า 117 ปี และพร้อมที่จะยกระดับความสัมพันธ์ในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง โดยรัสเซียแสดงความสนใจที่จะซื้อสินค้าเกษตร และอาหารจากไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยางพาราที่ต้องการซื้อจากไทย จำนวน 80,000 ตัน ในระยะแรก และระยะต่อมาจะเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 ตัน เพื่อรองรับตลาดการผลิตรถยนต์ของรัสเซียที่คาดว่าจะสามารถผลิตได้ 3 ล้านคัน ในปี 2559 และไทยพร้อมที่จะเป็น แหล่งสำรองอาหารและสินค้าเกษตรให้รัสเซีย อาทิ สินค้าข้าว ยางพารา สินค้าประมง ผักและผลไม้ ตลอดจนสินค้าอุตสาหกรรม อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางรถยนต์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่เพียงแต่สนับสนุนการซื้อขายโดยตรงเท่านั้น แต่พิจารณาให้มีการร่วมลงทุนระหว่างกันอีกด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนที่ไทยมีศักยภาพ
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายให้มีการจัดคณะแลกเปลี่ยนผู้แทนการค้า, ภาคเอกชนระหว่างกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเป็นการสร้างความคุ้นเคยกับตลาดของทั้งสองฝ่าย และไทยเชิญชวนให้รัสเซียมาร่วมออกงานแสดงสินค้าในไทย ซึ่งมีหลายกิจกรรมในปี 2558 เพื่อโอกาสในการขยายการค้าการลงทุนระหว่างกัน
ขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาด้านการเงินการธนาคาร ที่เป็นตัวขับเคลื่อนที่จะอำนวยความสะดวกให้การค้าขายสองฝ่ายคล่องตัวมากขึ้น โดยเสนอให้จัดตั้งกลไกชำระเงิน โดยใช้เงินสกุลของแต่ละประเทศเป็นตัวกลางชำระเงินแทนเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งทั้งสองฝ่ายอาจพิจารณาใช้สกุลเงินหยวนเป็นตัวกลาง และจะมีการส่งคณะผู้แทนจากธนาคารไทยไปหารือกับธนาคารรัสเซีย และเจรจาจัดทำ MOU ระหว่างกันต่อไป
สำหรับเรื่องการลงทุน รัสเซียเสนอให้มีกลไกหารือในระดับรัฐมนตรี เพื่อหารือด้านการลงทุนระหว่างกัน ขณะเดียวกันรัสเซียได้จัดตั้งกลไกดังกล่าวกับเวียดนามแล้ว
สำหรับภาพรวมการค้าระหว่างไทย-รัสเซียนั้น รัสเซียนับเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช(CIS) และอันดับที่ 24 ของไทยในตลาดโลก ในขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ในอาเซียนของรัสเซีย(รองจากเวียดนาม) และอันดับที่ 35 ของโลก โดยระยะ 5 ปีที่ผ่านมา(2552-2556) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่าเฉลี่ย 4,329 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยในปี 2557 (ม.ค.-พ.ย.) การค้าระหว่างไทย-รัสเซีย มีมูลค่า 4,662 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 9