ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใดไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารจะขายหุ้นส่วนนั้นให้กระทรวงการคลัง ผู้ถือหุ้นซึ่งรวมถึงกระทรวงการคลังที่ถือหุ้น 98.24 % มีมติเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ ตามขั้นตอนตามกฏหมายและกฏข้อบังคับของธนาคาร กระบวนการต่างๆจะแล้วเสร็จภายในเวลา 1 เดือน
ดังนั้น ธนาคารควรจะได้รับเงินเพิ่มทุน 2,000 ล้านบาทภายในเดือน ก.พ.58 หลังจากการเพิ่มทุนกระทรวงคลังจะถือหุ้นในธนาคารคิดเป็นสัดส่วน 98.88% ธนาคารจะนำเงินเพิ่มทุนมารองรับการขยายสินเชื่อในปีนี้ และแบ่งเงินเพิ่มทุนส่วนหนึ่งจำนวน 500 ล้านบาท นำไปสมทบในกองทุนร่วมทุนในกิจการ SMEs(SMEs Private Equity Trust Fund)ของกระทรวงการคลังต่อไป
สำหรับแนวทางการดำเนินงานปี 58 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้แจ้งมติของซุปเปอร์บอร์ดเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.57 ว่า ธนาคารต้องปล่อยสินเชื่อให้เฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยในวงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาทเท่านั้น และสินเชื่อใหม่จะต้องเป็น NPLs ไม่เกิน 5% และให้ธนาคารเร่งดำเนินการบริหารหนี้ NPLs ที่มีอยู่โดยเร็ว โดยให้มีการประเมินผลการดำเนินงานของธนาคารทุกไตรมาส ยึดหลักในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ การบริหาร NPLs และประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งให้ธนาคารเร่งรัดตรวจสอบฟ้องร้องดำเนินคดีสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น
นางสาลินี กล่าวว่า ธนาคารจะยึดถือหลักการที่ซุปเปอร์บอร์ดให้ไว้และจะพยายามดำเนินการในเรื่องการปล่อยกู้ให้ SMEs รายย่อย การร่วมลงทุน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ SMEs และการพัฒนาศักยภาพของ SMEs ในเขตภูมิภาค ซึ่งเป็นพันธกิจหลักของธนาคารต่อไป ในการนี้ธนาคารได้ปรับปรุงโครงสร้างองค์กร รวมทั้งโยกย้ายพนักงานจากหน่วยงานสนับสนุน(Back Office) ให้มาอยู่ในหน่วยงานด้านที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อ การดูแลรักษาคุณภาพสินเชื่อ และการให้บริการลูกค้า (Front Office)เพื่อรองรับการปฏิบัติตามพันธกิจเรียบร้อยแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.58
สำหรับผลการดำเนินงานของธนาคาร ณ 31 ธ.ค.57 มีกำไรสุทธิ 334 ล้านบาท ดีขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ขาดทุนสุทธิ 41 ล้านบาท สาเหตุสำคัญเกิดจากธนาคารสามารถรักษาคุณภาพลูกหนี้ไม่ให้ตกชั้นเป็น NPLs ในขณะเดียวกันก็สามารถปรับปรุงโครงสร้างลูกหนี้เดิมที่เป็น NPLs ให้กลับมาเป็นลูกหนี้ปกติ ซึ่งลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างเหล่านี้จ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารในอัตราไม่ต่ำกว่า MLR
นอกจากนั้น ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อตามพันธกิจซึ่งเป็นรายย่อยได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนน่าพึงพอใจ โดยลูกหนี้ตามพันธกิจของธนาคารจ่ายดอกเบี้ยในอัตราเฉลี่ย 8.5% ลูกหนี้ทั้ง 2 ประเภทนี้ทำให้ธนาคารมีดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่มีภาระในการกันสำรองค่าเผื่อหนี้สูญลดลง และธนาคารสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้อยู่ในระดับต่ำคือ 1.9% ของยอดสินเชื่อรวม ลดลงจาก 2.1% ของปี 56 ขณะเดียวกัน ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายของธนาคารไม่ได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานะของธนาคารเริ่มมีเสถียรภาพ ส่งผลให้สามารถระดมเงินฝากรายใหญ่เพื่อมาปล่อยสินเชื่อตามพันธกิจได้เพียงพอ ดังนั้นธนาคารจึงมีกำไรสุทธิ 334 ล้านบาท
ในส่วนของยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs)ลดลงจาก 35,167 ล้านบาท(คิดเป็น 39.92% ของเงินให้สินเชื่อรวม)ณ สิ้น มิ.ย.57 ลดเหลือ 31,960 ล้านบาท(คิดเป็น 37.61% ของเงินให้สินเชื่อรวม)ณ สิ้น ธ.ค.57 หรือลดลงเท่ากับ 3,207 ล้านบาท โดยยอดเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่จำนวน 84,986 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ที่ 93,475 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารได้ปรับแนวทางในการขยายสินเชื่อมาเน้น SMEs รายย่อย วงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาท ทำให้ลูกหนี้ SMEs ขนาดกลางหลายรายรีไฟแนนซ์ไปอยู่ธนาคารพาณิชย์เอกชน ประกอบกับมีลูกค้าชำระเงินต้นในระหว่างปี แต่เมื่อพิจารณาเฉพาะจำนวนสินเชื่อที่เบิกจ่ายในปี 2557 ธนาคารได้ปล่อยกู้ 9,872 ล้านบาท เป็นลูกหนี้ 7,163 ราย ในจำนวนนี้เป็นลูกหนี้วงเงินต่ำกว่า 15 ล้านบาท จำนวน 6,841 ราย เป็นยอดสินเชื่อ 7,140 ล้านบาท