ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2% ไปจนถึงสิ้นปี 58 แม้ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปีนี้ โดยมองว่าการที่ธปท.คงดอกเบี้ยไว้ที่ 2% เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.5-4%
ขณะที่เงินบาทนั้น มองว่าจะอ่อนค่าลงเรื่อยๆ จนแตะที่ระดับ 34.50 ณ สิ้นปี 58 เนื่องจากเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีการแข็งค่าขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ โดยตลาดคาดการณ์ว่าดัชนีดอลลาร์มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 2%
ด้านมุมองเศรษฐกิจโลกในปีนี้ มองว่า จะมีการพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่สำคัญหลายเรื่องที่ต้องจับตา เช่น แนวทางการใช้นโยบายการเงินที่แตกต่างกัน เช่น เขตเศรษฐกิจยูโรโซนที่จะมีการใช้มาตราการ QE แบบเต็มรูปแบบเช่นเดียวกับสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ และสหรัฐฯจะมีแนวโน้มการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหลังเริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับต่ำยังคงกดดันการปรับขึ้นของเงินเฟ้อ ประกอบกับการค้าในตลาดโลกที่ยังฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก ท่ามกลางการแข่งขันการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) และธนาคารกลางยุโรป(ECB) ที่แข่งกันพิมพ์เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีความขัดแย้งด้านการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวโน้มศรษฐกิจโลกในปี 58 อีกด้วย
ด้านนายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มหุ้นไทยในปี 58 ยังอยู่ในช่วงของกรอบการปรับตัวขาขึ้น แต่จะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในระดับที่น้อยกว่าปีก่อน เนื่องจากระดับของดัชนีปีนี้เริ่มต้นที่ 1,500 จุด ในระดับ P/E ที่ 13 เท่า ซึ่งสูงกว่าการเริ่มต้นในปี 57 ที่ดัชนีเริ่มที่ 1,200 จุด ในระดับ P/E ที่ 11 เท่า ทำให้ในปัจจุบันราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยถือว่ามีราคาในระดับที่ค่อนข้างแพง ทำให้การปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นน้อยกว่าปีก่อน
ทั้งนี้ ประเมินว่าในช่วงครึ่งปีแรกดัชนีตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะสามารถปรับตัวได้ถึง 1,600-1,650 จุด และในช่วงครึ่งปีหลังของปี 58 คาดว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ1,650-1,700 จุด ในระดับ P/E ที่ 15 เท่าจากแรงหนุนของอัตราการขยายตัวของเศรษฐิกิจไทยในปีนี้ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ 3.5% จากปีที่แล้วจีดีพีขยายตัวไม่ถึง 1% ประกอบกับการคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนไม่รวมกลุ่มพลังงานในปีนี้จะเติบโต 10% จากปีก่อนที่เติบโต 15%
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก ขนส่ง และท่องเที่ยวที่จะได้รับประโยชน์จากราคน้ำมันที่ลดลง โดยคาดว่ากำไรของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะขยายตัวได้ 10% ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันในปีนี้อาจจะมีการรีบาวน์ขึ้นมาไม่มากนัก โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวในปีนี้อยู่ที่ 40-50 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล
พร้อมกันนี้ คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงานในปีนี้จะติดลบ 3% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง และมีสัดส่วนในตลาดหุ้นไทยลดลงเหลือ 20% จากเดิม 30% โดยมีหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เริ่มมีสัดส่วนปรับตัวเพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับสัดส่วนหุ้นไนกลุ่มพลังงาน โดยกำไรของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไนปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้น 10% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของสินเชื่อเติบโตขึ้นและการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม
สำหรับการลงทุนของภาครัฐในปีนี้ หากมีการเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าภาคเอกชนจะมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เองในปีนี้ค่อนข้างมาก เช่น โครงการตึกสูง 125 ชั้น โครงการที่สวนลุมไนท์บาซาร์ โครงการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล บางใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้การลงทุนภาครัฐจะมีผลต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดว่าในปีนี้จะสร้างมูลค่างานในมือ(Backlog) ที่จะมีการรับรู้รายได้ในอนาคตได้สูงที่สุเป็นประวัติศาตร์ เช่น CK และ STEC
ในส่วนของหุ้นกลุ่มสื่อสาร คาดว่าจะยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และในช่วงปลายปีนี้หากมีการประมูล 4G เกิดขึ้น จะหนุนให้หุ้นกลุ่มสื่อสารปรับตัวขึ้นและช่วยผลักดันดัชนีตลาดหุ้นไทยใหม่ปรับเพิ่มขึ้นได้
ด้านกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ แนะนำให้ทยอยขายหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปในระดับ 1,600-1,650 จุด และหากดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ระดับ 1,500 จุด ให้นักลงทุนทยอยเข้าซื้อ โดยในช่วงไตรมาส 2/58 แนะนำให้นักลงทุนน่กนงทุนเข้าทยอยซื้อ เนื่องจากคาดว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะมีการปรับพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงในเรื่องการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ดัชนี SET ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 1,500 จุด อีกทั้งให้ทยอยขายกำไรในช่วงไตรมาส 3/58 และไตรมาส 4/58 ที่ดัชนีจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
"ปีนี้ ดัชนีก็คงมีการ swing ขึ้นลงได้เห็นอย่างน้อย 100 จุดในแต่ละรอบอย่างแน่นอน ก็ใช้ช่วงที่ดัชนีขึ้นลงนี้ให้ทยอยขายและทยอยซื้อ แต่อีกอย่างที่มองไว้ คือภายใน 2 ปีนี้ เราอาจจะได้เห็นดัชนี SET ทำ New High อีกจาก New High เดิมที่ 1,789 จุด แม้ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่ แต่ยกเว้นความเสี่ยงที่เกิดจากสงคราม"นายกวี กล่าว