อย่างไรก็ตาม เกษตรกรไทยเองก็ควรร่วมขับเคลื่อนและพัฒนาไปพร้อมๆ กันอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ได้รับการรับรองมาตรฐาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นไปตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ก็จะสามารถทำให้ภาคเกษตรไทยอยู่รอดและพัฒนาแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างแน่นอน
สศก.ระบุว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้ง 17 ด้าน รวม 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันที ระยะต่อไปที่ต้องแก้ปัญหาพื้นฐานที่ค้างคาอยู่ และระยะยาวที่ต้องวางรากฐานเพื่อความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง เน้นดูแลเกษตรกรให้มีรายได้ที่เหมาะสมด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การลดต้นทุนการผลิต การช่วยเหลือในเรื่องปัจจัยการผลิตอย่างทั่วถึง การช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย ตลอดจนถึงการใช้กลไกตลาดดูแลสินค้าเกษตรประเภทที่ราคาต่ำผิดปกติให้สูงขึ้นตามสมควร
ส่วนด้านเกษตรกรรม จะดำเนินการ 2 เรื่องใหญ่ คือ การปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับความต้องการและการสนับสนุนให้สหกรณ์ของกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มบทบาทในฐานะ ผู้ซื้อ พืชผล จนถึงการแปรรูปและการส่งออกได้
ทั้งนี้ นโยบายของคณะรัฐมนตรี(ครม.)สำหรับการบริหารขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มีต่อภาคเกษตร ซึ่งมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ต.ค.57 อนุมัติให้ใช้สภาพคล่องของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)จำนวน 40,000 ล้านบาทเป็นมาตรการเสริมในการลดต้นทุนให้แก่ชาวนาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากมีการลดต้นทุนในแง่ของปัจจัยการผลิต ค่าปุ๋ย ค่าสารเคมีเกษตร ค่าที่ดิน และค่าบริการรถไถไปแล้วก่อนหน้าเฉลี่ยไร่ละ 432 บาท โครงการช่วยเหลือชาวนาครั้งนี้มุ่งช่วยเหลือชาวนา 3.4 ล้านครัวเรือน โดยการสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าต้นทุนการผลิตจำนวน 1,000 บาท/ไร่ กำหนดกรอบวงเงินสูงสุด 15,000 บาท/ครัวเรือน ซึ่งหมายถึงชาวนาจะได้รับเงินช่วยเหลือไม่เกิน 15,000 บาท
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในฤดูการผลิตปี 2557/58 ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ 1) โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 57/58 โดยการลดดอกเบี้ยลงร้อยละ 3 ต่อปี รายละไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ธ.ก.ส. อนุมัติวงเงินสำหรับโครงการนี้จำนวน 89,000 ล้านบาท
2) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวนาปี (ประกันยุ้งฉาง) ซึ่งเป็นสินเชื่อที่เข้าไปช่วยเกษตรกรในช่วงที่ผลผลิตออกมาเป็นปริมาณมากและมีราคาตกต่ำ มีเป้าหมายดำเนินการในเขตพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวนข้าวเปลือก 1.5 ล้านตัน วงเงินสินเชื่อ 17,280 ล้านบาท
และ 3) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ได้แก่ สหกรณ์ภาคการเกษตรและกลุ่มเกษตรกร โดยการไปรวบรวมข้าวเปลือกเพื่อการจำหน่าย วงเงินสินเชื่อ 18,000 ล้านบาท และเพื่อนำไปแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท รวมวงเงิน 20,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากมองภาพการขับเคลื่อนนโยบายทางการเกษตรสำหรับรัฐบาลนี้ พบว่า รายจ่ายของรัฐบาลตามโครงการต่างๆ เช่น โครงการจำนำข้าว การช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านการเกษตรปี 2555-2557 มาตรการช่วยชาวสวนยาง การสมทบค่าเบี้ยประกันภัยข้าวนาปี 57/58 กระจายผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต และอื่นๆ นั้น จะมีเม็ดเงินที่เข้าสู่ภาคเกษตรจำนวนรวม 0.283 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบกับแผนลงทุนนอกภาคเกษตร หรือเมกะโปรเจ็กต์ประมาณกว่า 3 ล้านล้านบาทนั้น ภาคเกษตรจะได้รับเพียงร้อยละ 8.6 หรือเมื่อคำนวณรายได้ต่อหัวของภาคเกษตรจะได้รับเพียงคนละประมาณ 11,300 บาท เท่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่มีต่อภาคเกษตร ทั้งนี้ ยังไม่ได้รวมโครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการที่มีเม็ดเงินเข้าไปสู่ภาคเกษตร
ด้านนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่มีต่อภาคอุตสาหกรรมและบริการนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แนวทางคือ 1) โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศ (mega project) แผนลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ประมาณกว่า 3 ล้านล้านบาท 2) โครงการความช่วยเหลือแก่คนในเมืองและบางส่วนแก่คนในชนบท ตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนระยะเร่งด่วน
"จะเห็นว่า รัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญมาตรการทางเศรษฐกิจ โดยยึดหลักการในการประหยัดพลังงานและลดผลกระทบต่อรายได้ โดยเฉพาะในกลุ่มของประชาชนที่มีรายได้น้อย เพื่อบรรเทาผลกระทบในภาคการบริโภค และการรักษาวินัยทางการคลัง โดยมีระยะเวลาประมาณ 6 เดือน และจะสิ้นสุดภายในเดือน มกราคม 2558 นี้ พบว่า ตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ใช้จ่าย 21,600 ล้านบาท (ลดค่าจ่ายน้ำประปาครัวเรือน ลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าครัวเรือน ลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสาร และลดค่าเดินทางรถไฟชั้น 3) ทั้งนี้ หากจะประมาณในรอบปีหรือ 12 เดือนก็จะได้ประมาณ 40,000 ล้านบาท"
ทั้งนี้ การเปรียบเทียบนโยบายที่มีต่อภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร (ภาคอุตสาหกรรมและบริการ) หากมองภาพการขับเคลื่อนนโยบายทางการเกษตรสำหรับรัฐบาลนี้ พบว่าเม็ดเงินที่เข้าสู่ภาคเกษตรจำนวน 0.283 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบกับแผนลงทุนนอกภาคเกษตร หรือเมกะโปรเจ็กต์ประมาณกว่า 3 ล้านล้านบาทนั้น ภาคเกษตรจะได้รับเพียงร้อยละ 8.6 และนอกภาคเกษตรร้อยละ 91.4 หรือเมื่อคำนวณรายได้ต่อหัวของนอกภาคเกษตรจะได้รับคนละประมาณ 70,000 บาท หรือประมาณ 7 เท่าของรายได้ภาคเกษตร
ดังนั้น ความสำคัญของภาคเกษตรจำเป็นต้องมีการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ เพื่อให้ภาคเกษตรสามารถดำเนินการไปได้อย่างยั่งยืน ควบคู่กับวัฒนธรรมไทยและสังคมไทยตลอดไป โดยการดำเนินเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันต้องมีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว และคำนึงถึงปัจจัยรอบด้าน ทั้งปัจจัยภายใน เพราะปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ เป็นการสั่งสมมาจากปัจจัยทางการเมืองมาหลายปี ประกอบกับภาคการส่งออกได้มีการปรับลดเป้าอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงเป้าหมายของจีดีพี และความหวังว่า จีดีพีไทยปี 58 จะเติบโตขึ้นในระดับ 4-5% ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียนถือว่าเติบโตต่ำที่สุด และอาจจะทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางการค้าได้ ส่วนภาคการท่องเที่ยว ก็มีแนวโน้มที่จะลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย รวมถึงภาคการเกษตรที่ประสบปัญหาสินค้าราคาตกต่ำ แม้แนวโน้มของระดับราคาสินค้าเกษตรจะเพิ่มขึ้นแล้วบางส่วนก็ตาม แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาสักระยะหนึ่ง ส่วนปัจจัยภายนอก คือราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกปรับตัวลดลงหรือยังทรงตัวอยู่ ประเทศไทยในฐานะประเทศส่งออกสินค้าเกษตรในเชิงเศรษฐกิจ ย่อมได้รับผลกระทบบ้างเมื่อพืชชนิดนั้นราคาตกต่ำหรือทรงตัว อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มของการส่งออกจะมีแนวโน้มที่สดใสเพิ่มมากขึ้น