ด้านนางเรไร รัตนสุภา ผู้จัดการโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาในระยะสั้นนั้น คณะทำงานฯ ที่ประกอบด้วย สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การสวนยาง กรมวิชาการเกษตร และผู้แทนเกษตรกรจาก 8 จังหวัด ดังกล่าว ร่วมกันร่างแผนการดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 26 ม.ค.นี้ โดยจะให้ความช่วยเหลือในการปล่อยเงินกู้แปรรูปยางดอกเบี้ยต่ำ ที่คงเหลือจำนวน 5,000 ล้านบาท จากโครงการสนับสนุนเงินทุนแก่สถาบันเกษตรกร ที่ให้วงเงินกู้ 10,000 ล้านบาท และปล่อยกู้ให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปผลผลิตไปเพียง 5,000 ล้านบาทเศษ ในการนำไปจัดซื้ออุปกรณ์แปรรูปยางพารา ได้แก่ จักรรีดยาง มอเตอร์รีดยาง ตะกงใส่น้ำยาง เป็นต้น เพื่อแปรรูปเป็นยางแผ่นดิบและตลาดกลางมีราคาประมูล 58 บาท/กก.
ทั้งนี้ คณะทำงานฯ จะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ เงื่อนไขในการปล่อยกู้ก่อน หากไม่ติดปัญหาใดสามารถนำเงินส่วนนี้มาใช้ได้ทันที แต่หากติดหลักเกณฑ์บางประการ จะนำเรื่องยื่นเสนอครม. เพื่อขอความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง เป็นหนึ่งในโครงการที่ช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง โดยองค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) จะใช้เงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน 6,000 ล้านบาท เพื่อเข้าประมูลตามกลไกตลาดกลางยางพารา โดยรับซื้อยางแผ่นรมควันชั้น 3 ยางแผ่นรมควันอัดก้อน และยางแท่ง STR20 จากสถาบันเกษตรกร และตลาดกลางยางพารา ทั้งตลาดซื้อขายจริง (spot market) และตลาดข้อตกลงส่งมอบจริง (forward market) นำมาบริหารจัดการเป็นลักษณะสต๊อกหมุนเวียน (moving stock) เพื่อใช้เป็นมูลภัณฑ์กันชนสำหรับลดความผันผวนของราคายางในตลาด โดยคณะกรรมการบริหารกิจการของ อ.ส.ย. แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข แนวทาง และข้อปฏิบัติการซื้อขายและการบริหารจัดการโครงการ โดยจะเข้ารับซื้อเมื่อราคายางในตลาดอยู่ในระดับต่ำกว่าราคาที่กำหนด และเสนอขายตามความเห็นชอบของคณะทำงาน ระยะเวลาดำเนินการ 18 เดือน (พฤศจิกายน 2557–เมษายน 2559) โดยคาดหวังว่าโครงการนี้จะสามารถรักษาเสถียรภาพราคายางในตลาดไม่ให้เกิดความผันผวนมากจนเกินไป เกื้อกูลให้สถาบันเกษตรกรมีตลาดสำหรับระบายยาง เกิดการหมุนเวียนการผลิตและการรับซื้อยางดิบจากเกษตรกรนำมาแปรรูปต่อไป