การเลือกเปิดศูนย์บริการลูกค้า สาขาเชียงคานนั้น ถือว่าสอดคล้องกับกลยุทธ์การขยายสาขาของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายธุรกิจเข้ามาในเขตพื้นที่ชายแดนในแต่ละภูมิภาค เพื่อให้สอดรับกับการเปิดสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) ที่จะมีขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2558 ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพการค้าและบริการให้ขยายตัวขึ้น ทั้งในแง่การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงการค้าในเขตชายแดนด้วย
ภายใต้กลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่พื้นที่การค้าชายแดนนั้น ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ทยอยเปิดศูนย์บริการลูกค้า สาขาต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในเดือนมกราคม 2558 ที่เพิ่งเปิดสาขาเชียงของ จังหวัดเชียงราย ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีศูนย์บริการลูกค้าทั้งสิ้น 154 แห่ง
"มองว่า AEC ถือเป็นโอกาสสำหรับเมืองไทยประกันชีวิต ในแง่การออกไปทำธุรกิจในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอนาคตภายใต้กฎหมายของประเทศนั้นๆขณะเดียวกันเรายังมองว่า การเปิด AEC จะทำให้การค้าและบริการในพื้นที่ชายแดนขยายตัวขึ้น เศรษฐกิจเติบโต ประชาชนมีกำลังซื้อและมีความต้องการประกันชีวิตเพิ่มตามมาด้วย ฉะนั้น เราจึงกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ ให้เข้ามารับกับโอกาสตรงนี้ โดยมองทั้งการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเติบโต รวมถึงให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมมากขึ้นด้วย"นายสาระ กล่าว
ด้วยกลยุทธ์ของที่ต้องการเข้าถึงไลฟ์สไตล์ลูกค้าในทุกกลุ่มเป้าหมาย บริษัทฯได้กำหนดทำเลที่ตั้งสาขาให้สอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นแหล่งชุมชน ห้างสรรพสินค้า ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ และโรงพยาบาล ขณะเดียวกัน บริษัทฯได้มุ่งมั่นพัฒนาขีดความสามารถบริการของสาขา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เช่น บริการชำระเบี้ยประกัน บริการรับเงินสินไหมทดแทน และบริการกู้ยืมตามกรมธรรม์ที่สามารถรอรับได้ ณ ศูนย์บริการลูกค้า
"เราให้ความสำคัญกับบริการอย่างมากในทุกมิติ ไม่ใช่มองว่าเป็นเพียงขั้นตอนที่เข้ามารองรับหลังการขายเท่านั้น แต่ต้องการทำให้ความสะดวกสบายในไลฟ์สไตล์ของลูกค้านั้นกลายเป็นสิ่งที่สามารถจับต้องได้จริง ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง และสอดคล้องไปกับยุทธศาสตร์การเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งสามารถสะท้อนภาพลักษณ์ของบริษัทฯ ได้อย่างชัดเจน"นายสาระกล่าว