ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ปล่อยสินเชื่อแล้ว 1.93 พันล้านบาท ขณะที่หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ม.ค. ลดลงเหลือ 3.16 หมื่นล้านบาท จาก 3.51 หมื่นล้านบาทในมิ.ย. 57 หลังปรับการบริหารลูกหนี้ดีขึ้น
พร้อมขอเวลาคณะกรรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) 1 ปี ในการขยายสินเชื่อ-ลด NPL พลิกฟื้นผลงาน หลังมีกระแสข่าวจะควบรวมกับธนาคารออมสิน
นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการ SMEBank เปิดเผยว่า ธนาคารตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่ในปี 58 อยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมาธนาคารได้มีการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยแล้ว 1,000 ราย เบิกจ่ายแล้วกว่า 1.93 พันล้านบาท โดยลูกหนี้ที่ปล่อยกู้นั้นวงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็น SMEs รายย่อย และโอทอปในต่างจังหวัดเป็นหลัก
"เรามุ่งเน้นสินเชื่อให้กับ SMEs รายย่อยและโอทอปในต่างจังหวัดเป็นหลัก เพื่อให้ SMEs มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอที่จะไม่ต้องลดการจ้างงาน และไม่ต้องการลดซื้อวัตถุดิบ"นางสาลินี กล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารยังเดินหน้าให้สินเชื่อโครงการแม่ค้าคนดี โดยตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อในโครงการดังกล่าว 5 พันล้านบาทจากวงเงินสินเชื่อ 4 หมื่นล้านบาท โดยได้ทำ MOU กับตลาดทั่วประเทศ เช่น ตลาดประตูน้ำ ขอนแก่น ตลาดเซฟวันโคราช เป็นต้น ซึ่งโครงการดังกล่าวเพื่อการเซ้งแผงค้าขาย หรือ เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งสามารถกู้ได้รายละไม่เกิน 5 ล้านบาท ส่งผลให้เดือนม.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 98 ล้านบาท
สำหรับระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารในเดือนม.ค.ที่ผ่านมาลดลง 288 ล้านบาท จาก NPL ที่มีทั้งหมด 3.16 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือนมิ.ย. 57 ที่มี NPL อยู่ที่ 3.51 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 3.49 พันล้านบาท โดยมาจากการเร่งรัดประนอมหนี้ และการที่ดูแลลูกหนี้ได้ทั่วถึงทำให้ควบคุมการตกชั้นของลูกหนี้ได้
เดือนม.ค.ที่ผ่านมาคณะกรรมการธนาคาร ได้อนุมัติขายทรัพย์สินที่เปิดประมูลขายเป็นกองแรก ให้แก่ บมจ.ศรีสวัสดิ์ (SAWAD) ซึ่งเป็นผู้ยื่นประมูลราคาสูงที่สุดแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการส่งมอบเอกสารเท่านั้น โดยธนาคารคาดว่าระดับ NPL จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามแผนฟื้นฟู
ด้านนายสุพจน์ อาวาส กรรมการผู้จัดการ SMEBank เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีที่มีกระแสข่าวว่าคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือ ซูเปอร์บอร์ด จะควบรวมกิจการของธพว.กับธนาคารออมสินนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว แต่ทั้งนี้ขอยืนยันว่าจะทำงานเต็มที่ โดยขอระยะเวลาในการทำงานเพื่อพิสูจน์ผลงานของตนเอง 1 ปี และมั่นใจว่าการดำเนินนโยบายตามแผนที่วางไว้ จะทำให้องค์กรสามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาภาครัฐมากเหมือนในอดีต
พร้อมกันนี้ธนาคารได้แต่งตั้งพล.ท.พิศณุ พุธวงศ์ หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำประธานองคมนตรี เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านธรรมาภิบาลของธนาคาร
"ผมขอเวลา 1 ปี ในการทำงานเต็มที่ เพื่อให้คณะกรรมการและพนักงานทำงานได้เต็มที่ เราจะทำให้ดีที่สุด และจะทำให้เอสเอ็มอีแบงก์เป็นแบงก์สีขาวสะอาด พร้อมยึดหลักธรรมาภิบาล"นายสุพจน์ กล่าว
ด้านพล.ท.พิศณุ กล่าวว่า จะสร้างระบบธรรมาภิบาล โดนมุ่งเน้นความโปร่งใส ความมีคุณธรรมภายในองค์กร สนับสนุนค่านิยมต้านคอร์รัปชั่น เพื่อให้ SMEBank มีภูมิคุ้มกันจากการแทรกแซงทางการเมือง