อย่างไรก็ดี ธปท.ยืนยันว่าจะทำทุกวิถีทางภายใต้เครื่องมือที่มีอยู่เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทเป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจมากเกินไป แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องประสิทธิภาพของเครื่องมือในระยะปานกลาง ดังนั้น ธปท.จึงอยากให้ทุกฝ่ายช่วยกัน และภาคเอกชนต้องเตรียมพร้อม ปรับตัว เพื่อช่วยเหลือตัวเองด้วย
"จากการติดตาม flow ที่เห็นไม่ได้รุนแรงมากนัก เมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆ ค่าเงินบาทยังมีเสถียรภาพ แต่ที่แข็งค่าขึ้นน่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินของประเทศคู่ค้าหลักๆ เช่น เยน ที่เดิมจาก 32 บาท/100 เยน มาเหลือที่ 27-28 บาท/100 เยน ซึ่งกรณีนี้เป็นเรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง" นางผ่องเพ็ญ กล่าว
พร้อมระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการมาดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน แต่สิ่งที่พอจะทำได้คือ เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าค่าเงินมีการเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ก็พร้อมจะเข้าไปดูแลตามที่เคยใช้เครื่องมือเดิมในการเข้าดูแล
2.ขอให้ ธปท.สนับสนุนให้ใช้เงินของประเทศคู่ค้าแทนการใช้สกุลเงินของประเทศที่ 3 ซึ่งเรื่องนี้ ธปท.มีความเห็นที่สอดคล้องกันกับภาคเอกชน และเห็นว่าจะต้องปรับเปลี่ยนมุมมองในการใช้สกุลเงินระหว่างประเทศคู่ค้า เพื่อมาแทนการอ้างอิงสกุลดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
3.การมองโอกาสในการเปิดตลาดประเทศที่ถูกคว่ำบาตรเพื่อให้เป็นเป้าหมายใหม่ในการส่งออก เพราะปัจจุบันเรื่องนี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งต้องเป็นท่าทีของประเทศไทยเองด้วยว่าจะมองเรื่องนี้อย่างไร แต่ทั้งนี้ ธปท.อยากให้ภาคเอกชนจัดระบบต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมไว้ เพราะหากการคว่ำบาตรเริ่มลดน้อยลง จะทำให้ภาคเอกชนสามารถกลับเข้าไปทำธุรกิจหรือการค้าขายกับประเทศนั้นๆ ได้ทันที