ศาสตราจารย์โมไนย ไกรฤกษ์ รักษาการแทนอธิการบดี สจล. เปิดเผยว่า ทางธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ตกลงจะส่งเอกสารต่างๆ เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกรรมซึ่งจะเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดที่ลักทรัพย์ของ สจล.จำนวนเงินราว 1.5 พันล้านบาทให้ครบถ้วน
สำหรับเอกสารเพิ่มเติม ประกอบด้วย 1. เอกสาร หลักฐาน จำนวน 8 รายการใน 3 บัญชีหลักของสาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์ โดยให้ทยอยนำส่งเอกสารให้ครบทุกรายการ ภายในวันพุธที่ 18 ก.พ.58
2. เอกสาร หลักฐาน ในส่วนที่ยังขาดอีก 31 รายการ ในอีก 5 บัญชี โดยให้ทยอยนำส่งให้ครบทุกรายการภายในวันจันที่ 23 ก.พ.58 และ
3. เอกสารที่ สจล.ร้องขอจำนวนรวม 68 รายการ SCB จะนำส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้ สจล.และจัดส่งเอกสารต้นฉบับให้พนักงานสอบสวน กองปราบปราม
โดยจะให้ธนาคารไทยพาณิชย์ ทยอยนำส่งให้ครบทุกรายการภายในวันที่ 23 ก.พ. 58 นอกจากธนาคารไทยพาณิชย์จะต้องมีการส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้กับสจล. และจัดส่งเอกสารต้นฉบับให้กับพนักงานสอบสวนด้วย
"สจล. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากทางธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยดี เพื่อให้พนักงานสอบสวน กองปราบปรามสามารถดำเนินการสืบสวน สอบสวนตามขั้นตอน เพื่อหาผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป และนำเงินกลับคืนสู่ สจล.โดยเร็ว"
ศ. โมไนย กล่าวว่า หากสจล.ได้รับเอกสารจากธนาคารไทยพาณิชย์ครบถ้วนแล้ว ทางสจล.จะมีการเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบภายในเพื่อหาผุ้กระทำผิดในคดีทุจริตดังกล่าว โดยขณะนี้สจล.มีความเชื่อว่าอาจจะมีบุคคลภายในเกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริตบัญชีเงินฝากของสจล. อีกทั้งมาตรการการยกเลิกการทำธุรกรรมทางการเงินกับทางธนาคารไทยพาณิชย์นั้นทางสจล.จะมีการนำกลับมาทบทวนและพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้รับเอกสารที่สจล.ร้องขอจากธนาคารไทยพาณิชย์ครบถ้วน
“มาตรการปิดบัญชีและยกเลิกการทำธุรกรรมของสจล.กับธนาคารไทยพาณิชย์ หากเราได้รับเอกสารที่ยังขาดไปครบถ้วนแล้วเราก็จะมีการกลับมาทบทวนและพิจารณากันอีกครั้งว่าจะเป็นอย่างไร วันนี้เป็นการแสดงจุดยืนเพื่อให้เกิดความร่วมมือกันเพื่อช่วยกันหาความจริงและเร่งหาผู้กระทำผิด อยากให้รอกันอีกสักนิด เพราะเราต้องถามหลายฝ่ายว่าจะเอาอย่างไร มาตรการจะมีการผ่อนคลายลงบ้างไหม และสจล.หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยเป็นอย่างดี"นายโมไนย กล่าว
ขณะที่นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร SCB กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางธนาคารได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยแต่งตั้งนางวัลลยา แก้วรุ่งเรือง รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานกฎหมาย เป็นหัวหน้าคณะทำงานและเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการสื่อสารตลอดจนเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ คณะทำงานชุดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการตรวจสอบ ซึ่งธนาคารเชื่อว่าจะได้ข้อสรุปในไม่ช้า หากได้ข้อสรุปว่าพนักงานของธนาคารมีส่วนร่วมในการทำทุจริตหรือบกพร่องจนก่อให้เกิดความเสียหาย ธนาคารพร้อมจะรับผิดชอบตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ออกมาตรการเพิ่มเติมในระบบการปฏิบัติงานให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ได้แก่ การลดอำนาจอนุมัติของสาขาในรายการเงินสดและเงินโอนมาไว้ที่ส่วนกลางและจะได้มีการออกมาตรการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการควบคุมการปฏิบัติงานสาขาและระบบงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในลำดับต่อไป
“การร่วมมือกันในวันนี้เราจะช่วยกันหาคนผิด และหากพบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากทางธนาคารหรือพนักงานของธนาคาร เรายินดีที่จะรับผิดชอบ ซึ่งถือว่าเรื่องความรับผิดชอบเราต้องมีการพูดให้ชัดเจนว่าเราพร้อมที่จะรับผิดชอบหากเป็นความผิดของเรา ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธนาคารที่มีเกียรติ ปีนี้ก็ครบ 108 ปี เราไม่มีการปกป้องการทุจริตและคนที่ทำทุจริตอย่างแน่นอน ที่ผ่านมาหากเอกสารที่สจล.ร้องขอมีความล่าช้านั้น ก็เป็นเพราะเอกสารเยอะมากและกระบวนการของธนาคารก็ล่าช้าด้วย ตอนนี้เราก็แต่งตั้งคุณวัลลยา ซึ่งเป็นรองกรรมการเข้ามาติดต่อประสานงานกับสจล.และให้ขั้นตอนต่างๆรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะพยายามให้ดีที่สุดในการส่งเอกสารที่สจล.ร้องขอว่ายังขาดตามที่ตกลงกันไว้ และส่วนการปฏิบัติงานของสาขาเราก็ได้ออกมาตรการที่รัดกุมมากขึ้นและยกเลิกการเซ็นต์ย้อนหลังไปแล้ว เพื่อป้องกันการกระทำการทุจริตและส่งผลเสียต่อธนาคาร"นายวิชิต กล่าว