(เพิ่มเติม) สภาพัฒน์ คงคาด GDP ปี 58 โต 3.5-4.5% ฟื้นตัวตามส่งออก-ลงทุน-ท่องเที่ยว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 16, 2015 10:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)คงคาดการณ์เศรษฐกิจปี 58 จะขยายตัวในระดับ 3.5-4.5% โดยมีปัจจัยหนุนคือการฟื้นตัวอยางช้า ๆ ของภาคการส่งออกตามทิศทางเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว การเร่งรัดการใช้จ่ายและโครงการลงทุนสำคัญของภาครัฐ ปริมาณการผลิตและจำหน่ายรถยนต์กลับมาขยายตัว ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง

ส่วนข้อจำกัดที่สำคัญ คือ ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจน ระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกยังมีความผันผวนสูง แนวโน้มการรอ่อนค่าของสกุลเงินประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง รวมถึงอัราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับตัวเพิ่มขึ้น

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคม และเลขาธิการ สภาพัฒน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 58 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปี 57 โดยที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออก การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการลดลงของราคาน้ำมัน การเร่งรัดการใช้จ่ายและการดำเนินโครงการลงทุนที่สำคัญๆ ของภาครัฐ และการเริ่มกลับมาขยายตัวของปริมาณการผลิตและจำหน่ายรถยนต์

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ในภาวะอ่อนตัว ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง และแนวโน้มการอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศสำคัญๆ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับตัวเพิ่มขึ้น

ขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งในด้านดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มเกินดุลมากขึ้นตามการฟื้นตัวของการส่งออกและการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกและอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งปีแรกในขณะที่การปรับตัวของสถานการณ์ด้านราคาในช่วงครึ่งปีหลังยังเป็นประเด็นที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

สภาพัฒน์ประเมินแนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 58 ราว 3.5-4.5% โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัว 3.5% การบริโภคของครัวเรือนและ การลงทุนรวมขยายตัว 2.9% และ 6.0% ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วง 0.0-1.0% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 4.9% ของ GDP ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกคาดว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำที่ราว 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ด้านเศรษฐกิจโลกในปี 58 มีแนวโน้มที่จะขยายตัว 3.5% เร่งขึ้นเล็กน้อยจากการขยายตัว 3.2% ในปี 57 สนับสนุนโดยการขยายตัวเร่งขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนและญี่ปุ่นยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวช้าๆ ท่ามกลางแรงกดดันของภาวะเงินฝืด ในขณะที่เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากปี 57 และเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมใหม่และภูมิภาคอาเซียนปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมาและแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อลดลง

การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันทำให้ทิศทางนโยบายการเงินระหว่างสหรัฐฯ และประเทศสำคัญๆ อื่นๆ มีความแตกต่างกันมากขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นและยุโรปยังอยู่ในช่วงของการดำเนินมาตรการขยายปริมาณเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ลดแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดและการแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยน เงื่อนไขดังกล่าวทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญอื่นๆ

การแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิตน้ำมันในอเมริกาเหนือและการชะลอตัวของเศรษฐกิจผู้บริโภคน้ำมันที่สาคัญๆ ยังทาให้ราคาน้ำมันและราคาสินค้าขั้นปฐมในตลาดโลกยังอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่อง เมื่อรวมกับแนวโน้มการปรับทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เงื่อนไขดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้ประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจอ่อนแอและพึ่งพิงรายได้จากสินค้าขั้นปฐมมีความสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น

นายอาคม ระบุว่า ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจของไทยในปี 58 ต้องให้ความสำคัญกับ (1) การดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยและสนับสนุนการปรับตัวในการผลิตภาคเกษตรเพิ่มเติมจากมาตรการการให้เงินช่วยเหลือการผลิตและสินเชื่อต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว (2) การดูแลธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญๆ (3) การส่งเสริมการพัฒนาอาชีพเสริมและการยกระดับทักษะสำหรับผู้มีรายได้น้อย (4) การเร่งรัดการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 4.0%

(5) การเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนที่ยังคงค้างอยู่และโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนใหม่ในช่วงปลายปี 57 รวมทั้งเร่งรัดติดตามโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริม การลงทุนแล้วให้ดำเนินการลงทุนโดยเร็ว (6) การดำเนินนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนโดยสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และ (7) การเร่งรัด ติดตาม ประเมินผลการใช้จ่ายภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ 2558 และการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งเร่งรัดโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และโครงการความร่วมมือกับต่างประเทศในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เพื่อสร้างความมั่นใจและกระตุ้นการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ