ดังนั้น ขอทุกฝ่ายอย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน ส่วนจะได้ข้อสรุปทันทีหรือไม่ แต่คงต้องให้ รมว.พลังงานไปรวบรวมเพื่อหาทางออกอีกครั้ง ดังนั้น ขอสื่ออย่าชี้นำ
"ผมตัดสินใจของผมเอง ว่าผมจะทำแค่ไหน ผมมีเรื่องอื่นอีกเยอะแยะที่ต้องทำ ถ้าทั้งหมดมีผมแค่คนเดียวก็ไม่ต้องมี ครม. ถ้าผมคนเดียวแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมดก็ดี ถ้าจะให้ผมไปนั่งฟังทุกวัน ก็ไม่ต้องทำงาน เพราะมี 19 กระทรวง ผมก็ให้เกียรติอยู่แล้ว เพราะจัดให้ในนามผมอยู่แล้ว ในทำเนียบด้วย แต่ห้ามมาทะเลาะเบาะแว้ง ห้ามมาอาละวาดด่าทอกันในนี้ไม่ได้"นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า การจัดเวทีกลางเพื่อให้ข้อมูลข่าวสารแก่รัฐบสล ประชาชน นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงพลังงานทั้ง 2 ฝ่ายดังกล่าวนั้น นายกรัฐมนตรีได้ให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ได้ต้องการจะเดินหน้าโดยไม่มีการรับฟังความเห็นหรือข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่มีความห่วงใยต่อเรื่องนี้ เพราะปัจจุบันข้อมูลการเดินหน้าสัมปทานปิโตรเลียมมีข้อมูลอยู่ 2 ด้าน ทั้งจากด้านเจ้าหน้าที่รัฐ และจากด้านผู้ที่มีข้อห่วงใย ซึ่งทำให้สังคมสับสนว่าข้อมูลใดเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
"การเปิดให้มีเวทีกลางขึ้น เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับฟังข้อมูลทั้ง 2 ด้านพร้อมๆ กัน ส่วนจะตัดสินได้หรือไม่นั้น พี่น้องประชาชนต้องใช้ดุลยพินิจในวันนั้นว่าข้อมูลของใครมีความน่าเชื่อถือ และชัดเจนมากกว่ากัน รัฐบาลเมื่อได้รับฟังพร้อมกับพี่น้องประชาชนก็ยินดีจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปประมวลเพื่อกำหนดทิศทางว่ารัฐบาลจะเดินไปอย่างไร" รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วปานกลางที่ลงนามใน MOU กับจีน ซึ่งรัฐบาลจีนกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ 2.5%ว่า ขณะนี้คณะกรรมเจรจาอยู่ระหว่างการต่อรองขอลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอีก โดยยืนยันว่าจะไม่มีการสมยอมกัน และต้องได้ผลประโยชน์เท่าเทียมกัน ซึ่งรัฐบาลเตรียมพร้อมหาแหล่งเงินกู้ที่ดอกเบี้ยต่ำกว่านี้หากไม่สามารถเจรจาลดดอกเบี้ยกับทางจีนได้อีก