จากข้อมูลเบื้องต้น สะท้อนให้เห็นว่าในอนาคตภาคอุตสาหกรรมของไทยยังคงมีความต้องการแรงงานอย่างมาก ซึ่งในหลายภาคการผลิตได้อาศัยแรงงานต่างด้าวเข้ามาทดแทนความต้องการแรงงาน ประกอบกับแนวโน้มของโครงสร้างประชากรไทยที่มีอัตราการเกิดต่ำ และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ทำให้มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีมาตรการในการรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทุกระยะ
โดยในระยะสั้น มี 2 มาตรการ คือ 1) ฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพทักษะฝีมือแก่แรงงานใหม่ก่อนเข้าทำงาน หรือกำลังจะเข้าสู่การทำงานให้มีความรู้ ความสามารถในการทำงาน หรือมีสมรรถนะเพิ่มขึ้นในแต่ละสาขาอาชีพ และสอดคล้องกับความต้องการกับภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งลดปัญหาความไม่สอดคล้องของแรงงานกับความต้องการของตลาด (Skill Mismatch) เนื่องจากตลาดขาดแคลนแรงงานมีฝีมือและประสบการณ์ โดยเฉพาะแรงงานช่างระดับอาชีวะ ในขณะที่แรงงานจบใหม่ส่วนใหญ่นิยมการศึกษาระดับปริญญาตรี
และ 2) สนับสนุนโรงงาน/สถานประกอบการมีส่วนร่วมในนโยบายส่งเสริม Talent Mobility ที่ได้รับการผลักดันจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เนื่องจากนโยบายดังกล่าวส่งเสริมให้บุคลากร/นักวิจัยของหน่วยงานภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน โดยบุคลากร/ นักวิจัยจะได้สัมผัสกับการปฏิบัติจริงและได้พบปัญหา สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้แก่นักศึกษา ในขณะที่ภาคเอกชนจะได้บุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาร่วมทำวิจัยและพัฒนาเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์
สำหรับระยะกลางและระยะยาว ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ 1) เพิ่มประสิทธิภาพหรือความสามารถของแรงงาน ทั้งทางตรงคือการอบรมเพิ่มทักษะและการศึกษา และทางอ้อมโดยการใช้เครื่องจักรหรือเทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยผู้ประกอบการไทยจะต้องยกระดับการผลิต เปลี่ยนจากการพึ่งพาแรงงานไร้ฝีมือราคาถูก มาเป็นแรงงานที่มีความชำนาญด้านเครื่องจักร เพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้นและสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น 2) สนับสนุนให้มีการลงทุนใน 3 ด้านคือ การลงทุนในเครื่องจักร การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการลงทุนพัฒนาแรงงานด้านทักษะและการศึกษา เพื่อสร้างแรงงานที่มีผลิตภาพสูงและสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
และ 3) ควรมีการจัดทำยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่ชัดเจน เพื่อลดปัญหาความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานด้านกำลังคนในภาคอุตสาหกรรมทั้งในระดับภาพรวมและราย สาขาอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสาขาที่ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งเป็นแนวทางในการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนในเทคโนโลยีเครื่องจักรและแรงงาน และมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน 2554 – 2555
โดยในปีงบประมาณ 2558 สศอ. จะดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาระบบ LEED-X+ เพื่อให้มีความทันสมัยและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถพยากรณ์ความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมได้ละเอียดชัดเจนรอบด้าน สำหรับใช้เป็นฐานข้อมูลด้านแรงงานที่สมบูรณ์ให้กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในการวางแผนงาน และดำเนินธุรกิจต่อไป
นายอุดม กล่าวเพิ่มเติมว่า ฐานข้อมูลที่ สศอ. ใช้ในระบบ LEED-X+ ณ ปัจจุบัน เป็นฐานข้อมูลในปี 2554 – 2555 โดยในปีงบประมาณ 2558 สศอ.จะดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาระบบ LEED-X+ ซึ่งจะทำให้สามารถพยากรณ์ความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมได้ละเอียดชัดเจนรอบด้าน สำหรับใช้เป็นฐานข้อมูลด้านแรงงานที่สมบูรณ์ให้กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในการวางแผนงาน และดำเนินธุรกิจต่อไป