ในส่วนหลักเกณฑ์การพิจารณาวิธีซื้อยางก้อนถ้วย และน้ำยางสด ได้มอบหมายให้ กนย.เสนอมายัง ครม.ให้รับทราบ โดยหลักเกณฑ์จะต้องช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยผ่านสหกรณ์ชุมชน หรือกลุ่มเกษตกรและวิสาหกิจชุมชน
"ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาราคายาง ทำให้ราคายางแผ่นดิบรมควันชั้น 3 ขยับจาก 55 บาท/กิโลกรัม เป็น 63.15 บาท/กิโลกรัม ขณะที่ยางแผ่นดิบอยู่ที่ 58 บาท/กิโลกรัม"นายอำนวย กล่าว
ส่วนการระบายยางค้างสต็อกนั้น จะดำเนินการเพื่อไม่ให้กระทบต่อคาราคายางในประเทศ ซึ่งเมื่อถึงฤดูปิดกรีดยางแล้ว ก็สมควรที่จะระบายยางพาราค้างสต็อก แต่จะคำนึงถึงราคาส่งออกยางของผู้ส่งออกด้วย ทั้งนี้ปริมาณที่จะระบายในขณะนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ทางการค้า
อย่างไรก็ดี ไทยยังต้องดำเนินการส่งออกยางภายใต้ MOU ไทย-จีน ที่ต้องดำเนินการส่งออกข้าว 2 แสนตัน และยางพารา 2 แสนตัน ภายใต้ราคาที่ตกลงใน MOU ไว้ด้วย
รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ที่ประชุม กนย. ซึ่งมีตัวแทนกลุ่มเกษตรกรรวมอยู่ด้วย ได้แจ้งการเพิ่มกลุ่มเกษตรจากเดิมมี 5 กลุ่มเป็น 7 กลุ่ม ครอบคลุมเกษตรครบทุกภาค เพื่อนำมติคณะกรรมการยางไปชี้แจงและดำเนินการต่อไป ซึ่งจะทำให้รัฐบาลแก้ปัญหาความเดือดร้อนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ในส่วน พ.ร.บ.การยางมีการแก้ไขคณะกรรมการยาง 5 คน โดยเพิ่มสัดส่วนเกษตรกรจากเดิม 1 คน เพิ่มเป็น 3 คน ภาครัฐอีก 2 คน
นายอำนวย กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรี ย้ำให้เร่งช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถลืมตาอ้าปากได้ และขอให้ทุกฝ่ายมีความสามัคคีกันเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมยางให้มีความก้าวหน้า และเป็นอันหนึ่งของโลก พร้อมทั้งสั่งการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเสนอแนวทางการใช้ยางในประเทศให้มากที่สุด ซึ่งคาดว่าในปี 2558 จะมีปริมาณความต้องการใช้ยางประมาณ 1 แสนตัน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้รับทราบสถานการณ์ยางพาราของโลกและในประเทศ ซึ่งพบว่าสถานการณ์ยางโลกในขณะนี้อยู่ในช่วงลดลงอย่างมาก เป็นผลจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลง และราคายางเทียมอยู่ที่ 35 บาท/กิโลกรัม ซึ่งทำให้ลดการใช้ยางธรรมชาติ เพราะมีราคาที่สูงกว่า