(เพิ่มเติม) พาณิชย์ เผยม.ค.58 ส่งออกลดลง 3.46% นำเข้าหดตัว 13.33% ขาดดุล 457 ล้านดอลล์

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 25, 2015 12:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เผยการส่งออกเดือน ม.ค.58 หดตัวลดลง 3.46% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่า 17,249 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การนำเข้าหดตัวลดลง 13.33% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน โดยมีมูลค่า 17,705 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 457 ล้านเหรียญสหรัฐ

"การส่งออกของไทยกลับมาหดตัวตามทิศทางการชะลอตัวในสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบ ขณะที่ภาพรวมการส่งออกในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมยังคงเติบโตต่อเนื่อง" เอกสารเผยแพร่ ระบุ

สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกหดตัวสูงกดดันให้ราคาส่งออกสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหดตัวและราคาสินค้าเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ กระทบมูลค่าส่งออก ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเดือน ม.ค.58 อยู่ที่ 47.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ลดลงถึง 53.6% (YoY) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ซึ่งนับเป็นระดับราคาที่ต่ำสุดในรอบ 6 ปี(ก.พ.52) เนื่องจากผลผลิตน้ำมันดิบมีมากเกินความต้องการในตลาดโลก ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยเดือน ม.ค.58 ปรับตัวลดลง 14.2% กระทบต่อมูลค่าการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปลดลง 28.1% ขณะที่ปริมาณส่งออกยังคงเพิ่มขึ้น 21.8% เช่นเดียวกับสินค้าเกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันดิบ ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบซึ่งมาจากอุตสาหกรรมการกลั่นปิโตรเลียมค่อนข้างสูง โดยดัชนีราคาส่งออกเดือน ม.ค.58 เคมีภัณฑ์ลดลง 9.1% และเม็ดพลาสติกลดลง 5.0% ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกหดตัว 21.9% และ 14.6% ตามลำดับ ส่วนราคาส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ยางพารายังคงทรงตัว จากแรงกดดันของราคายางสังเคราะห์ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนที่ผลิตจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีต้นทุนต่ำลง นอกจากนี้ยังส่งผลถึงความต้องการใช้พลังงานทดแทนอย่างไบโอดีเซลลดลง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลลดลงตามไปด้วย

ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดสำคัญบางตลาดกลับมาหดตัวในเดือน ม.ค.58 ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศ CLMV ยังมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง โดยตลาดหลักที่กลับมาหดตัว ได้แก่ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป(15) กลับมาหดตัว 7.5% และ 5.0% ตามลำดับ จากการที่เศรษฐกิจทั้งสองฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (QE) ส่งผลให้ค่าเงินเยน และค่าเงินยูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดคำสั่งซื้อชะลอตัว ขณะที่การส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกา มีสัญญาณการฟื้นตัวดีต่อเนื่องขยายตัวที่ 6.0% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันจากปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตามทิศทางการจ้างงานที่ดีขึ้น ส่งผลให้การบริโภคสินค้าคงทน และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ