ไทย-อินเดียจับคู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพิ่มมูลค่าซื้อขายสินค้ากว่า 22 ลบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 2, 2015 12:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางดวงกมล เจียมบุตร โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการเดินทางเยือนเมืองมุมไบ-นิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 25-27 ก.พ.58 โดยมีพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะพร้อมผู้แทนภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐว่า นอกจากมีข้อเสนอแนะในการทำการค้าระหว่างไทยและอินเดียแล้ว ยังได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของสภาอุตสาหกรรมอินเดีย และมีการจับคู่ธุรกิจระหว่างสมาชิก Thaitrade.com ของไทยและ Tradeindia.com และของอินเดีย

ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้จัดให้ภาคเอกชนสองฝ่ายมีการจับคู่ธุรกิจการค้ากัน ซึ่งในครั้งนี้มีการจับคู่รวม 137 คู่ คาดว่าจะมีมูลการซื้อขายราว 22.5 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มข้าว, เทียนฝีมือ, กาแฟผงผสมครีมเทียม, บอลลูน, กล่องเครื่องประดับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ประกอบการค้าและสมาคมวิชาชีพเกี่ยวกับธุรกิจก่อสร้างไทยกับผู้นำเข้าอินเดียในสาขาวัสดุก่อสร้าง, รับเหมาก่อสร้าง, ยางพารา และอาหาร เป็นต้น

นางดวงกมล โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกิจกรรมทางการตลาดในปี 58 นอกจากจะเข้าพบผู้นำเข้าผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ การจัดงานไทยส่งเสริมการขายแล้ว ยังมีการจัดงานแสดงสินค้าไทยแลนด์วีค รวมถึงการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าไทยในอินเดีย คาดว่าจะทำให้การค้าขยายตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ไทยได้วางยุทธศาสตร์การขยายการค้าการลงทุนด้วยการ สร้างเสริมและพัฒนาการเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจการค้าไทย-อินเดีย, การเจาะกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและระดับสูง จำนวน 350 ล้านคนที่มีกำลังซื้อ โดยเน้นสินค้าไทยระดับคุณภาพปานกลาง-ดี และกลุ่มสินค้าที่มี Brand Awareness สูง, กระจายตลาดทั้งเชิงลึกและเชิงกว้างจากส่วนกลางออกสู่ภูมิภาคต่างๆของอินเดีย และบุกตลาดเมืองรองที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูง เช่น กูวาฮาติ (รัฐอัสสัม), จันดิการ์ (รัฐปัญจาบ), วิสาขาปัตนัม (รัฐอันตรประเทศ), อาห์เมดาบัด (รัฐคุชราต), ปูเน่ (รัฐมหาราชตะ) และโคอิมปาตอง (รัฐทมิฬนาดู)

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจนั้น อินเดียมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย รองจากจีน และญี่ปุ่น โดยอินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี คาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของโลก รายได้ GDP 60% มาจากภาคบริการ โดยสาขาที่มีการขยายตัวและดึงดูดการลงทุนมากที่สุด คือ สารสนเทศและโทรคมนาคม, การเงินและการธนาคาร, การศึกษาวิจัย และการก่อสร้าง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ