ดังนั้น คณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาด เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2558 จึงมีมติร่วมกันว่า ไม่มีความจำเป็นจะต้องนำเข้าน้ำมันปาล์มเพิ่มเติมอีก และให้ติดตามสถานการณ์การผลิตปาล์มน้ำมันอย่างต่อเนื่อง หากผลผลิตปาล์มน้ำมันยังออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นหรือมีสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้น ก็จะปรับสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตไบโอดีเซลให้กลับไปเป็นบี 7 ได้ตามปกติ และเพื่อไม่ให้เกษตรกรได้รับผลกระทบปัญหาทางด้านราคา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งหวังให้เกษตรกรขายผลปาล์มสดทั้งทะลายที่มีคุณภาพและได้รับราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 5 บาท จึงขอให้เกษตรกร เกษตรกรให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพทะลายปาล์มน้ำมัน ไม่ตัดปาล์มดิบ ซึ่งมีผลทำให้อัตราน้ำมันที่สกัดได้ต่ำลง
นอกจากนี้ จากการศึกษาของ สศก. พบว่า การขายผลผลิตปาล์มน้ำมันของเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่จะผ่านจุดรับซื้อ หรือที่เรียกว่า “ลานเท" ซึ่งจะมีการแยกผลปาล์มร่วงออกจากทะลาย รวมถึงการใส่สิ่งเจือปนและรดน้ำเพื่อเพิ่มน้ำหนัก ทำให้ผลปาล์มทั้งทะลายที่ส่งเข้าโรงงานสกัดไม่มีคุณภาพ อัตราการสกัดน้ำมันต่ำ ซึ่งอัตราการสกัดน้ำมันจากผลผลิตปาล์ม 12.57 ล้านตัน ถ้าลดลงร้อยละ 1 จะมีผลทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจลดลงประมาณ 7,700 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศมาเลเซีย ที่สามารถสกัดน้ำมันได้อัตราเฉลี่ยร้อยละ 20.04 (ปี 2556) ในขณะที่ประเทศไทยสามารถสกัดได้อัตราเฉลี่ยร้อยละ 17.54 แต่ในปัจจุบันประเทศไทยมีผลอัตราการสกัดเพียงร้อยละ 14-15 เท่านั้น (มกราคม – กุมภาพันธ์ 2558)
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันฯ จึงได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด เข้ากำกับและตรวจสอบลานเท เพื่อไม่ให้มีการแยกผลปาล์มร่วงออกจากทะลายปาล์ม โดยในส่วนการตัดปาล์มดิบของเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ในท้องที่แต่ละจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้เกษตรกรเห็นความสำคัญของการตัดปาล์มสุกต่อไป