"ขณะนี้งบประมาณได้ลงไปถึงทุกพื้นที่ แต่ที่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ เนื่องจากติดขัดปัญหาขาดผู้ประกอบการ หรือผู้รับเหมาก่อสร้างที่จะเข้ามารับงาน เพราะเป็นโครงการขนาดเล็กที่กระจายไปทั่วประเทศ ดังนั้น จะต้องหาแนวทาง เช่น บูรณาการหลายโครงการเข้าด้วยกัน"
อย่างไรก็ตาม ได้มีการขับเคลื่อนงบประมาณลงไปในทุกๆภาค ซึ่งภาคที่ได้งบประมาณมากที่สุดคือพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ตามลำดับ โดยพิจารณาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลักไม่ได้คำนึงถึงฐานเสียงการเมือง
ขณะที่รัฐบาลได้เร่งรัดแผนบริหารจัดการน้ำในปีนี้ที่เน้น เรื่องน้ำประปา การผลักดันน้ำเค็มและการใช้น้ำเพื่อการเกษตร
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การดำเนินการของรัฐบาลทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและลดความเหลื่อมล้ำ โดยได้สั่งการให้ทุกกระทรวงติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมสั่งให้ทุกกระทรวงเดินหน้าการประชาสัมพันธ์ยุคใหม่ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจและเข้าถึงข้อมูลของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการทั้งในรูปแบบการแถลงข่าว เอกสารข่าวและสื่อโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะการสร้างแอพพลิเคชั่น ที่วันนี้กระทรวงคมนามคมได้นำร่องและรายงานต่อที่ประชุม ครม.
ด้าน ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.ได้รับทราบรายงานสถานภาพและภาพรวมการเบิกจ่ายงบปประมาณปี 58 ตั้งแต่ 1 ต.ค.57-27 ก.พ.58 ว่า จากวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 58 ที่ 2.575 ล้านล้านบาทนั้น ล่าสุดจนถึงสิ้นเดือน ก.พ.58 มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 1.095 ล้านล้านบาท คิดเป็น 42.6% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายรวม โดยในส่วนของงบรายจ่ายประจำ เบิกจ่ายไปแล้ว 1.015 ล้านล้านบาท คิดเป็น 47.8% ของงบรายจ่ายประจำที่ 2.125 ล้านล้านบาท ขณะที่งบรายจ่ายลงทุน เบิกจ่ายไปแล้ว 80,538 ล้านบาท คิดเป็น 17.9% ของงบรายจ่ายลงทุนที่ 449,476 ล้านบาท
ส่วนผลการก่อหนี้รายจ่ายลงทุนตั้งแต่ 1 ต.ค.57-27 ก.พ.58 พบว่าผลการก่อหนี้รายจ่ายลงทุนในช่วงปีงบ 58 สามารถก่อหนี้ได้แล้ว 139,766 ล้านบาท คิดเป็น 31.1% ซึ่งถือว่าดีกว่าในช่วงเดียวกันของปี 55 ปี 56 และปี 57 ที่สามารถก่อหนี้ได้ 7.4%, 12.5% และ 13.9% ตามลำดับ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพิ่มให้ครม.และรัฐมนตรีของแต่ละกระทรวงเร่งรัดลงไปยังพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ในความดูแลทั้งโครงการขนาดมูลค่า 5-10 ล้านบาท ซึ่งอาจมีปัญหาที่ผู้ประกอบการมองว่าได้กำไรน้อยจึงไม่สนใจร่วมประมูลโครงการ โดยขอให้ภาครัฐช่วยเร่งรัดเป็นการเฉพาะ รวมทั้งให้ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างเพื่อสร้างความสนใจให้เอกชนเข้าร่วมประมูลมากขึ้น