"อาจจะทำให้หุ้นขึ้นเหมือนครั้งอัดฉีดหนแรกจาก 1,500 จุด เป็น 1,600 จุด อีกก็ได้ ส่วนจะกระทบกับค่าเงินหรือไม่ ก็เป็นหน้าที่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจับตาอยู่แล้ว ส่วนตัวผมไม่อยากให้แข็งไปกว่านี้ เพราะไม่ดี"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังกล่าวถึงการเติบโตเศรษฐกิจปี 58 ว่า การจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตตามที่ตั้งไว้ 4% คงต้องตัดภาคการส่งออกออกไป ทำให้พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอดีตที่เคยมี 4 เครื่องยนต์ แต่ขณะนี้พึ่งพิงได้เพียง 2 เครื่องยนต์ คือ การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายลงทุนภาครัฐ เนื่องจากการส่งออกไม่เติบโต ทำให้ไม่มีการลงทุนเพื่อเก็บสต็อกสินค้า ส่วนการลงทุนระยะยาวก็ต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องอีดฉีดการลงทุนภาครัฐให้เร็วที่สุด และทำอย่างไรก็ได้ให้คนใช้เงินเพิ่มขึ้น
“ขณะนี้มีตัวเลขที่น่าสนใจเกิดขึ้น คือ การอิมพอทต์วัตถุดิบด้านอุตสาหกรรม แสดงว่า มีโรงงานบางโรงงานเริ่มขยับ"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ราคาสินค้าเกษตรสำคัญของไทยอย่างข้าวและยางพารานั้น ทราบว่ายังปรับขึ้นราคไม่ได้ เพราะสต๊อกยังไม่หมด แต่จะทำอย่างไรไม่ให้ขาดทุนและไม่ให้มีหนี้เพิ่ม ซึ่งการใส่เงินช่วยเหลือเกษตรกรทั้งข้าวและยางก็รู้อยู่แล้วว่าจะไม่เป็นหนี้เพิ่ม
ส่วนเงินแก้ปัญหาเกษตรกรประสบภัยแล้งซ้ำซากตำบลละ 1 ล้าน จำนวน 3 พันกว่าตำบล ได้ทยอยจ่ายเงินไปตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์คาดว่าจะอนุมัติเสร็จราวเดือนเมษายนทั้งหมด
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังล่าวถึงข้อเรียกจากภาคเอกชนให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น คงไม่ขอก้าวก่ายคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะปรับหรือไม่นั้น เพราะมั่นใจว่ากรรมการทั้ง 7 คนน่าจะคิดออก