นายสมชัย กล่าวว่า กรรมาธิการได้เสนอให้ปรับปรุงการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยขยายช่วงรายได้ให้กว้างขึ้น เนื่องจากอัตราก้าวหน้าที่เก็บในปัจจุบัน ผู้มีรายได้ต่ำสุดเกิน 4 แสนบาท คิด 5% ไปจนถึงผู้มีรายได้สูงสุดเกิน 4 ล้านบาท ในอัตรา 35% ซึ่งใช้มานานกว่า 20 ปี ขณะนั้นประเทศมีรายได้ไม่มากและไม่สูงนัก จึงควรปรับปรุงเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากเดิม และระดับการพัฒนาเศรษฐกิจสูงขึ้น โดยผู้ที่มีรายได้ต่ำสุดจนถึงผู้มีรายได้สูงสุด ซึ่งจะทำให้กลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีเข้ามาในระบบภาษีมากขึ้น และผู้ที่เคยเสียภาษีก็จะเสียในอัตราที่น้อยลง และจะทำให้รายได้จากภาษีเข้าประเทศใกล้เคียงของเดิม ซึ่งรมว.คลังก็รับที่จะไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงการจัดเก็บภาษีบ้านและสิ่งปลูกสร้างที่กำลังเป็นข่าวขณะนี้ว่า รมว.คลัง กำลังพิจารณาข้อยกเว้นต่างๆ อาทิ เงื่อนไขที่ยกเว้นไม่จัดเก็บภาษีราคาบ้านที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทควรจะปรับราคาบ้านที่สูงกว่านี้หรือไม่ หรือจะมีเงื่อนไขผ่อนปรนให้กับผู้มีรายได้ต่ำเสียภาษีไม่ต้องเต็มจำนวน ซึ่ง รมว.คลังกำลังจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเพราะข้อเสนอต่างๆ ต้องทำให้เสร็จในรัฐบาลชุดนี้ ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับว่าไม่ได้มีการปฏิรูปแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีในวันที่ 10 มี.ค. กรรมาธิการฯจะเชิญปลัดกระทรวงการคลังมาหารือ และในวันที่ 16 มี.ค.จะเชิญผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมาหารือ ส่วนในวันที่ 19 มี.ค.จะเชิญผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาหารือ
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกคณะกรรมการฯ กล่าวว่า กรรมาธิการได้เสนอขอให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณของอปท.ให้เปิดเผยรายละเอียดการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเห็นว่าการคำนวณระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างควรจะนำไปใช้ประโยชน์กับประชาชนในวงกว้างและนำรายได้ส่วนหนึ่งมาสนับสนุนการจัดตั้งธนาคารที่ดิน เพื่อช่วยประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม การปรับภาษีจะต้องเป็นเงื่อนที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะต้องได้รับประโยชน์จากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)