"ขอให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประชาสัมพันธ์ไปทำความเข้าใจกับประชาชนให้ครบทั้งระบบ ว่าปัจจุบันรัฐบาลมีรายได้จากภาษีจำนวนเท่าใด จากที่ตรวจสอบแล้วมี 18% ของรายได้ประชาชาติ ส่วนรายจ่ายของภาครัฐที่ต้องดูแลประชาชน สวัสดิการ โครงสร้างพื้นฐานในประเทศมีเท่าใด เพื่อให้ประชาชนเห็นว่า ถ้าเรามีรายได้น้อย แต่รายจ่ายเยอะ จะทำให้เราพัฒนาประเทศไม่ทันประเทศอื่นๆ" รองโฆษกประจำสำนักนายรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมระบุว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีคิดเป็นมูลค่าถึง 40% ของรายได้ประชาชาติ ในขณะที่ประเทศไทย รัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีราว 18% เท่านั้น
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีต้องการให้ทำความเข้าใจกับประชาชนว่า หากเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คงจะไม่ดำเนินการในเรื่องการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม เพราะเกรงจะเสียฐานคะแนนเสียง แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต และยืนยันว่าไม่ได้เป็นการขูดรีดประชาชนแต่อย่างใด แต่สิ่งสำคัญคือต้องการให้ประชาชนทุกคนตระหนักว่ามีส่วนร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาประเทศไปด้วยกัน
"ถ้าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เขาจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เพราะจะเสียคะแนนเสียง เสียการยอมรับ แต่เราไม่ได้ต้องการคะแนนเสียง เราต้องการทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และสร้างพื้นฐานที่ดีต่อลูกหลานในอนาคต จึงพยายามจัดระเบียบสังคม...ท่านให้หลักการว่า การกำหนดสูตรต้องให้ประชาชนทุกคนตระหนักว่าต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบกับการพัฒนาประเทศ ผู้มีรายได้มากจ่ายมาก รายได้น้อยจ่ายน้อย" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว