นายเมธี สุภาพงษ์ เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ในการตัดสินนโยบายคณะกรรมการฯ ประเมินว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงกว่าที่ประเมินไว้โดยแรงกระตุ้นจากภาคการคลังต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลชัดเจน และอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ภายใต้ภาวะดังกล่าว กรรมการ 4 คนเห็นว่านโยบายการเงินควรผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจ และช่วยพยุงความเชื่อมั่นของภาคเอกชน
อย่างไรก็ดี กรรมการ 3 คนประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ผ่อนปรนเพียงพอในการสนับสนุน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และควรรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินไว้สำหรับเวลาที่จำเป็นและมีประสิทธิผลมากกว่าปัจจุบัน
ทั้งนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบันควรอาศัยแรงขับเคลื่อนด้านการคลังมากขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินการตามแผนการลงทุนของภาครัฐในระยะต่อไป คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว
นายเมธ กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่คณะกรรมการฯ ให้ความสำคัญในการตัดสินนโยบาย คือ มองว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 และเดือนมกราคม 2558 ยังคงฟื้นตัวค่อนข้างช้า โดยมีแรงส่งทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนน้อยกว่าคาด ส่วนหนึ่งเนื่องจากความเชื่อมั่นของภาคเอกชนลดลง เศรษฐกิจในระยะต่อไปยังมีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราต่ำกว่าที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน สำหรับการส่งออกสินค้าคาดว่าจะทยอยฟื้นตัวใกล้เคียงกับที่คาด แต่มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าโดยเฉพาะจีน ขณะที่การท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องซึ่งจะช่วยชดเชยอุปสงค์ในประเทศได้บางส่วน
ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2558 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงและติดลบตามราคาน้ำมันโลกที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ยังปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เป็นบวก มองไปข้างหน้า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับที่คณะกรรมการฯ ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน สำหรับเสถียรภาพระบบการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ดีแต่ต้องติดตามผลกระทบจากความเสี่ยงที่อาจสะสมจากพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า (Search for yield) ภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน นายเมธี กล่าวว่า การที่ กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพราะแรงกดดันจากที่ประเทศข้างเคียงในภูมิภาคปรับลดดอกเบี้ยลง ซึ่งการที่แต่ละประเทศปรับลดดอกเบี้ยก็เป็นผลมาจากข้อมูลเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกันไปและต่างก็มีเหตุผลของตัวเองในการปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งการที่ไทยปรับลดดอกเบี้ยก็มีสาเหตุจากความจำเป็นของไทยเอง ไม่ได้เกิดจากแรงกดดันแต่อย่างใด โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของไทยถือว่าอยู่ในระดับที่เกือบต่ำสุดในภูมิภาค เป็นรองเพียงแค่สิงคโปร์
พร้อมกันนี้ เชื่อว่า กนง.ยังมีกระสุนเหลือเพียงพอที่จะใช้สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป และมองว่าการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้อาจจะไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก โดยรวมเสถียรภาพทางการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เงินทุนไหลเข้า-ออกยังเป็นปกติ ไม่มีสัญญาณรุนแรงใด ซึ่งนักลงทุนเองก็มีการปรับตัวได้อยู่แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วง
นายเมธี กล่าวด้วยว่า จากการใช้จ่ายของภาครัฐและภาคเอกชนในเดือนม.ค.และก.พ. ที่อ่อนแรงกว่าที่คาด ทำให้แรงส่งทั้งปีชะลอตัวลง ซึ่งจากสัญญาณนี้ทำให้ ธปท.เตรียมจะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย และการส่งออกของไทยในปี 58 ใหม่อีกครั้งในวันที่ 20 มี.ค.นี้ จากปัจจุบันที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตได้ 4% และการส่งออกโตได้ 1%