ทั้งนี้ รัฐบาลไทยมอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ ส่วนรัฐบาลจีนมอบหมายให้ COFCO Corporation เป็นผู้ดำเนินการภายใต้สัญญาซื้อขายข้าว โดยได้ตกลงกำหนดกลไกต่างๆ เพื่อให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่น ได้แก่ 1.กลไกการเสนอราคา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าการซื้อขายแบบ FOB โดยการกำหนดราคาจะคำนึงถึงกลไกราคาในตลาดโลก สำหรับชนิดและปริมาณข้าวจะมีการตกลงกันต่อไป 2.กลไกด้านโลจิสติกส์ ฝ่ายจีนจะเป็นผู้จัดหาเรือขนส่งสินค้าแบบคอนเทนเนอร์ และมีการกำหนดปริมาณการขนส่งสินค้าขั้นต่ำในแต่ละครั้ง และ 3.กลไกด้านคุณภาพ ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับคุณภาพข้าว โดยจะมีการแต่งตั้งผู้แทนที่จะกำกับดูแลการตรวจสอบข้าวอย่างเข้มงวดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ระบุไว้ในสัญญา
ส่วนเรื่องยางพารา ฝ่ายไทยได้มอบหมายให้องค์การสวนยางเป็นผู้ดำเนินการ และฝ่ายจีนมอบหมายให้ SINOCHEM เป็นผู้ดำเนินการภายใต้สัญญาซื้อขายยาง โดยตกลงที่จะซื้อขายยางชนิดต่างๆ ได้แก่ ยางแผ่นรมควันชั้น 3(RSS3) ปริมาณ 150,000 ตัน และยางแท่ง(STR 20) ปริมาณ 50,000 ตัน โดยกำหนดราคาซื้อขายยางจากราคาตลาดโลกบวกด้วยราคามิตรภาพ ซึ่งราคาดังกล่าวจะกำหนดโดยระดับนโยบายก่อนการประชุมครั้งถัดไป
สำหรับการส่งมอบสินค้าที่ทำการซื้อขายต้องผลิตตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป และมีระยะเวลาการส่งมอบ 12 เดือน โดยปริมาณการส่งมอบสินค้าในแต่ละเดือนจะเป็นปริมาณเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน(บวกลบไม่เกินร้อยละ 10) รวมทั้งกำหนดท่าขนถ่ายสินค้า ณ ต้นทาง ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และท่าเรือสงขลา จังหวัดสงขลา
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายจะประสานงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถลงนามสัญญาซื้อขายข้าวใหม่จำนวน 1 ล้านตัน และสัญญาซื้อขายยางพาราได้ในการประชุมครั้งต่อไปที่สาธารณรัฐประชาชนจีนช่วงต้นเดือน พ.ค.นี้
โดยระหว่างการประชุมครั้งนี้ ฝ่ายจีนตกลงที่จะซื้อข้าวปริมาณ 3 แสนตัน ภายใต้สัญญา G to G เดิม ประกอบด้วย ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมปทุมธานี ข้าวเหนียว และข้าวขาว ซึ่งมั่นใจว่าแผนการระบายข้าวไปยังต่างประเทศของรัฐบาลจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้