การส่งมอบข้าว ฝ่ายจีนจะเป็นผู้จัดหาเรือขนส่งสินค้าแบบคอนเทนเนอร์มารับเอง กำหนดปริมาณการขนส่งสินค้าขั้นต่ำในแต่ละครั้งไม่เกิน 100,000 ตัน ส่วนการตรวจสอบคุณภาพ ทั้ง 2 ฝ่ายจะแต่งตั้งผู้แทน หรือบริษัทเซอร์เวย์ ที่จะกำกับดูแลการตรวจสอบข้าวอย่างเข้มงวดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ระบุไว้ในสัญญา
"ถือว่าเข้มงวดขึ้นกว่าการตรวจสอบคุณภาพข้าวสัญญาเดิม 1 ล้านตันที่ส่งมอบไปแล้ว 300,000 ตัน เพื่อให้เกิดความสบายใจทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากนี้ ให้เก็บตัวอย่างข้าวไว้ที่ 5 หน่วยงาน คือ กรมการค้าต่างประเทศ คอฟโก บริษัทเซอร์เวย์ของทั้ง 2 ฝ่ายและ บริษัท CCIC ซึ่งเป็นบริษัทเซอร์เวย์ของจีนในไทย"
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ส่วนสัญญาซื้อข้าวจีทูจีเดิมของรัฐบาลก่อนปริมาณ 1 ล้านตัน ระหว่างไทยกับบริษัท คอฟโก ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน ที่ล่าสุดส่งมอบไปได้เพียง 300,000 ตันนั้น จีนได้ขอให้ไทยส่งมอบภายในก.ค.นี้ อีก 300,000 ตัน เป็นข้าวขาว 5% ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมปทุมธานี ข้าวเหนียว ปีการผลิตล่าสุด ในราคาตลาด ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวในประเทศมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเพราะมีความต้องการจากต่างประเทศมารออยู่แล้ว
ส่วนยางพารา ฝ่ายไทยได้มอบหมายให้องค์การสวนยาง เป็นผู้ดำเนินการ และฝ่ายจีนมอบหมายให้ SINOCHEM เป็นผู้ดำเนินการภายใต้สัญญาซื้อขายยาง โดยตกลงที่จะซื้อขายยางชนิดต่างๆ ได้แก่ ยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) ปริมาณ 150,000 ตัน และยางแท่ง (STR 20) ปริมาณ 50,000 ตัน โดยยางพาราที่จะส่งมอบ ต้องผลิตตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.57 เป็นต้นมา และมีระยะเวลาการส่งมอบ 12 เดือน โดยปริมาณการส่งมอบสินค้าในแต่ละเดือนจะเป็นปริมาณเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน (บวกลบไม่เกิน10% ) รวมทั้งกำหนดท่าขนถ่ายสินค้า ณ ต้นทาง ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และท่าเรือสงขลา จังหวัดสงขลา
นอกจากนี้ จีนยังตกลงที่จะซื้อสินค้าเกษตรอื่นๆ จากไทยตลอดช่วงเวลาการสร้างทางรถไฟในไทย ซึ่งจะหารือรายละเอียดอีกครั้งว่าเป็นสินค้าใด ปริมาณเท่าไร ทั้งนี้ รัฐบาลไทยมีความต้องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อยู่แล้ว หากสามารถเป็นช่องทางขายสินค้าเกษตรได้อีกก็จะเป็นเรื่องที่ดี และไม่ได้จำกัดเฉพาะว่าต้องเป็นจีนแต่ประเทศใดก็ได้ที่มีศักยภาพก็สามารถสร้างความร่วมมือกับไทยได้