อย่างไรก็ตาม ยังไม่กังวลว่าจะเกิดภาวะเงินฝืดขณะนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีความเป็นไปได้ที่จะเร่งตัวขึ้นมาอยู่เหนือระดับร้อยละ 1.0 ในช่วงสิ้นปี 2558 และจะสูงกว่าร้อยละ 2.0 ในปี 2559 เมื่อผลกระทบจากการลดลงของราคาพลังงานลดน้อยลง ทั้งนี้แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 2.0 เหลือร้อยละ 1.75 ในเดือนมีนาคม เพื่อลดความเสี่ยงขาลงต่อการเติบโตเศรษฐกิจและเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นภาคเอกชน แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตใกล้เคียงกับระดับการเติบโตระยะยาวที่ร้อยละ 4-5 นั้นยากกว่าที่คาดไว้แต่แรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการปล่อยสินเชื่อยังคงชะลอตัว
การที่เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างช้าๆ และมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ต่ำ เราจึงคาดว่า ธปท.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.75 ไปจนกระทั่งถึงต้นปี 2559 จากเดิมที่คาดว่ามีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี หากว่าเฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือนกันยายนปีนี้
น.ส.นลิน มองว่า การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้ แต่จำเป็นต้องทำอย่างระมัดระวังเพราะการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐที่ไม่เข้าเป้าในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 การขาดดุลการคลังสูงขึ้นเล็กน้อย คิดเป็นร้อยละ 3.4 ของจีดีพี
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจะยังคงมีอยู่ต่อไปสักระยะหนึ่ง ตราบเท่าที่ "เครื่องยนต์ใหญ่"ของเศรษฐกิจไทยทั้ง 2 ได้แก่ การส่งออก และการบริโภคภาคเอกชนยังคงอ่อนแอ ทั้งนี้ การลงทุนภาคเอกชนสามารถช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงได้ถ้าหากมีการขับเคลื่อนให้การลงทุนเกิดเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม
ส่วนประเด็นเรื่องนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนนั้น เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึงร้อยละ 4.5 ในช่วงเดือนพ.ย.57-ก.พ.58 เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ของประเทศคู่ค้า โดยอ้างอิงจากดัชนีค่าเงินของ ธปท. การแข็งค่าของเงินบาทซึ่งส่งผลให้การส่งออกอ่อนแอ ทำให้ธปท.มีแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากภาคเอกชนในการดูแลการแข็งค่าขึ้นอีกของเงินบาท แต่จากความเห็นของ ธปท.ล่าสุด พบว่า ทางการจะยังคงมีท่าทีในการเข้าแทรกแซงค่าเงินที่จำกัด โดยจะยังคงเน้นในเรื่องการควบคุมความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่มากเกินไปเป็นหลัก
ในแง่มุมเศรษฐกิจอื่นๆ จะเห็นว่ามีการมุ่งเน้นด้านการปฏิรูปมากขึ้นกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เพราะทางการตระหนักว่าปัญหาระยะยาว เช่น การขาดแคลนแรงงาน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่เป็นไปอย่างช้าๆ และความมั่นคงด้านพลังงาน ฯลฯ จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ มาตรการใหม่ๆ หลายเรื่องยังอยู่ในขั้นของการผลักดันหรือถกเถียงกันอยู่ ในระยะสั้น เราจึงคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะช้ากว่าที่เคยคาดไว้ เนื่องจากทรัพยากรหลายอย่าง(เช่น บุคลากรและเวลา เป็นต้น) จะถูกนำไปใช้สำหรับการปฏิรูปด้วย นอกจากนี้ การปฏิรูปยังเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลานาน เช่น การลดขั้นตอนการปฏิบัติภาครัฐ และปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและภาคธุรกิจให้ทันสมัย ฯลฯ อย่างไรก็ดี หากการปฏิรูปสำเร็จลุล่วงด้วยดี อาจจะช่วยยกระดับภาพรวมเศรษฐกิจได้ในระยะกลาง