ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนว่า หอการค้าไทยได้พยายามทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการให้รับทราบถึงปัญหาเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว ซึ่งเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ทั้งยุโรป และจีน ต่างส่งผลต่อไทย รวมถึงส่งผลต่อตลาดการส่งออกของไทย ช่วงนี้ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัวพัฒนาประสิทธิภาพและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเมื่อทางบีโอไอได้ส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมการเกษตรและช่วยเหลือเอสเอ็มอีรายเล็กมากขึ้นแล้ว ส่วนด้านการบริการได้มีการปรับลดเงื่อนไขที่จะส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น เช่น ลดจำนวนการทำห้องพักที่เป็นมาตรฐาน จาก 50 ห้อง ต้องยื่นเรื่องส่งเสริมการลงทุน เหลือเพียง 20 ห้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีฝากให้ทางภาคเอกชนได้ทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลมากยิ่งขึ้น โดยหลังจากนี้จะนำผลการหารือไปบอกกล่าวกับผู้ประกอบการหอการค้ารับทราบแนวทางของรัฐบาลต่อไป
ขณะที่ น.ส.วิมลกานต์ โกสุมาศ รักษาการแทนผู้อำนวยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ระบุว่า การประชุมในวันนี้ได้มีส่วนช่วยในการเปิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆของเอสเอ็มอี เพื่อรองรับการเข้าสู่เออีซี โดยเฉพาะกรณีที่ทางบีโอไอกำหนดกิจการเป้าหมายทั้ง 13 กลุ่มจะมีส่วนช่วยให้กิจการเอสเอ็มอีของไทยมีประสิทธิภาพและแข่งขันได้มากยิ้งขึ้น และนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายอย่างชัดเจนว่า สำหรับการลงทุนรายใหม่จะต้องไม่เป็นในลักษณะของการทุ่มตลาด เพราะจะส่งผลเสียต่อผู้ประกอบการรายเล็ก