อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากตัวเลขการจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในช่วงไตรมาส 1/58 มีมูลค่าสูงขึ้นถึง 9.75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาสามารถเบิกจ่ายได้แล้ว 51% มองว่าประเด็นดังกล่าวน่าจะเข้ามาชดเชยรายได้จากการส่งออกที่ลดลงไปได้ ดังนั้นจึงประเมินการส่งออกทั้งปีน่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 0-1%
"เศรษฐกิจที่ชะลอตัว เพราะเรายังโดนกระทบจากเรื่องของการส่งออก แต่ถือว่าเราก็ยังโชคดีจากการใช้จ่าย VAT ที่เพิ่มสูงขึ้น การลงทุนภาครัฐที่น่าจะดีขึ้น มองว่าจากนี้การส่งออกก็คงไม่น่าจะลดลงไปอีกแล้ว และน่าจะมีการเติบโตในอัตรา 0-1% ที่น่าจะเป็นไปได้" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังจากนี้ไป ไม่น่าจะลดลงไปมากกว่านี้ จากการดำเนินการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐ ที่จะมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการวางแผนกระตุ้นการส่งออก ที่น่าจะส่งผลให้ส่งออกของไทยสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในระยะ 2-3 ปีนับจากนี้ โดยรัฐบาลได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนประเภทอุตสาหกรรม ผ่าน BOI หันมาส่งเสริมสินค้ารุ่นใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูง เช่น การผลิตยางรถยนต์, Advance Material,ไฮเทค ออโต้พาร์ท,ผลิตชิ้นส่วนสำหรับเครื่องบิน เครื่องมือวิทยาศาสตร์ และ โซลาร์เซลล์ เป็นต้น
นอกจากนี้รัฐบาลได้ดำเนินการยกเลิกการเก็บภาษีรายได้จากการนำเงินลงทุนในต่างประเทศเข้าในประเทศ ซึ่งจะทำให้บริษัทเอกชนไม่นำเงินออกไปฝากไว้ที่อื่น และยังสามารถทำให้ GDP ของไทยขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก
พร้อมกันนี้ ยังมีในเรื่องของการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตอล ได้แก่ National Broadband ที่จะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตครอบคลุมทุกครัวเรือนในปี 60 ,DATA Center ,Gate way ,Digital Banking ,Government services ,E-commerce/Digital Entrepreneur ,Digital Content และ Distance Learing and Instruetional Technology (DLIT) โดยการส่งเสริมไทยให้ก้าวเป็นเศรษฐกิจดิจิตอลนั้น คาดว่าน่าจะให้ระยะเวลาในการผลักดันไปอีก 1 ปี