ทั้งนี้ หากแนวโน้มของค่าเงินเรียลอ่อนค่ามากขึ้นเท่าใดก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำตาลของประเทศคู่แข่งทุกประเทศและ/หรือ อย่างประเทศไทยมากขึ้นเท่านั้น โดยมูลค่าการส่งออกน้ำตาลของบราซิล สูงสุดในปี 2554 ถึง 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนปี 2557 มูลค่าการส่งออกน้ำตาล ได้ลดลงมาเหลือเพียง 0.96 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องมาจากปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มมากขึ้นเพื่อนำไปผลิตเอทานอลบางส่วน และประกอบกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกค่อนข้างทรงตัว
สำหรับการส่งออกน้ำตาลทรายของไทย มีความสำคัญที่จะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ การส่งออกสินค้าเกษตรกรรมจึงเป็นกลไกที่สามารถจะทำให้สร้างรายได้ให้แก่ประเทศเป็นจำนวนมากและจะเป็นผลดีต่อเกษตรกรด้วย โดยมูลค่าการส่งออกน้ำตาลของไทย พบว่าปริมาณการบริโภคน้ำตาลภายในประเทศที่มีเหลือสามารถส่งออกไปขายในต่างประเทศได้ ใน ปี 2555 มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดถึง 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากอดีตที่ผ่านมา โดยในปี 2557 สามารถส่งออกได้มูลค่า 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแนวโน้มคาดว่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีอัตราการขยายตัวจะไม่มากนัก หากสามารถรักษาระดับการแข่งขันในตลาดโลกไว้ได้
สศก.ได้วิเคราะห์ถึงอุปสงค์การส่งออกน้ำตาลของไทยและบราซิล พบว่า แนวโน้มการส่งออกน้ำตาลของบราซิลนั้น หากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงค่าเงินเรียลอ่อนค่าลงตั้งแต่ 2.5 – 3.5 เรียลต่อเหรียญสหรัฐ จะส่งทำให้บราซิลสามารถส่งออกในปริมาณที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำตาลล่วงหน้า ณ ตลาด นิวยอร์ค มีมูลค่าการส่งออกรวม ตั้งแต่ 9.60 – 14.70 พันล้านเหรียญสหรัฐ และหากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทอ่อนค่าลงตั้งแต่ 31-34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จะส่งทำให้ไทยสามารถส่งออกในปริมาณที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำตาลล่วงหน้า ณ ตลาด นิวยอร์ค มีมูลค่าการส่งออกรวมประมาณ ตั้งแต่ 3.1-3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ดังนั้น ความสัมพันธ์อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับมูลค่าการส่งออกน้ำตาลของบราซิลและของไทย จึงมีทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน กล่าวคือ หากค่าเงินภายในประเทศของบราซิลและของไทยอ่อนค่าลงย่อมส่งผลต่อปริมาณการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น