ส่วนปัญหาการทุจริตในโครงการ ซึ่งประเด็นคือเงินทุกเม็ดที่ออกไปจากตลาดกลางไปถึงผู้รับ วันนี้กำลังตรวจสอบให้ชัดเจนว่าที่มีข่าวว่าเงินไปอยู่ที่พ่อค้านายทุนนั้น เส้นทางเงินมีที่มาที่ไปอย่างไร จำนวนเท่าไร รวมทั้งกรณีที่มีการระบุว่าจัดโควต้าเพื่อให้เงินถึงเกษตรกรเลยแบบนั้นไม่เรียกว่าการทำราคาในตลาดสูงขึ้น แต่เป็นการซื้อเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
"เกษตรกรยังอยากให้มีโครงการนี้ต่อไป แต่ขอให้ปรับ" รมช.เกษตรฯ กล่าว
พร้อมระบุว่า วันที่ 8-9 พ.ค.นี้ จะเดินทางไปคุนหมิง ประเทศจีน เพื่อเจรจาข้อตกลงที่จีนจะรับซื้อยางจำนวน 2 แสนตันจากไทย ซึ่งที่กำหนดว่าจะรับซื้อในราคาตลาดและบวกด้วยเงินเพิ่มพิเศษนั้น เงินเพิ่มพิเศษควรอยู่ในระดับเท่าไร/กก.จึงจะเหมาะสม ซึ่งจะต้องไปคุยกันในรายละเอียด
รมช.เกษตรฯ ยังกล่าวถึง พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทยว่ากำลังจะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ โดยสาระสำคัญ คือ การควบรวมองค์กรที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการยางของประเทศไทยที่อยู่ในรูปของรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง คือองค์การสวนยาง(อสย.) และสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง(ส.ก.ย.) อยู่ในรูปของระบบราชการของกรม 1 แห่ง คือ กรมวิชาการเกษตร วัตถุประสงค์ใหญ่คือการจัดทำนโยบายในการส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคเอกชน ภาคเกษตรกรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมยาง พ.ศ.2542 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบในการควบคุม เพื่อควบคุม กำกับ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้มีความสมดุล
ส่วนพ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย จะดูแลเรื่องนโยบายส่งเสริมสนับสนุน และแก้ไขปัญหาที่ยังมีความเห็นแตกแยกในฝ่ายต่างๆ เพราะ อสย.ทำเรื่องส่งออก สกย.ทำเรื่องการเพาะปลูก กรมวิชาการเกษตรทำเรื่องข้อมูลวิชาการ เมื่อนำแต่ละส่วนเข้ามาอยู่ร่วมกันแล้วทิศทางของอุตสาหกรรมยางพาราจะชัดเจนขึ้น และยังสามารถรวบรวมความคิดเห็นของภาคเอกชนมาร่วมในการกำหนดนโยบายได้
นายอำนวย ยังกล่าวถึงอนาคตยางไทยใน AEC ว่า ทุกวันนี้ทุกประเทศใน AEC หันมาปลูกยางกันหมด เพราะหวังว่าราคายางจะกลับขึ้นไปแตะระดับ 100 บาทได้อีก แต่นักเศรษฐศาสตร์ยางโลกพยากรณ์แล้วว่ายากที่ราคาจะกลับไปอยู่ในจุดนั้น ดังนั้นไทยจึงอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากมีต้นทุนสูง พร้อมเห็นว่าสิ่งที่ไทยต้องปรับคือ 1.พัฒนาตลาดกลางยางพาราของไทย ซึ่งปัจจุบันมี 10 แห่งทั่วประเทศ ยังไม่รวมตลาดเครือข่ายอีกหลายแห่ง ระบบตลาดจะช่วยให้เกษตรกรนำสินค้ามาวางให้ประมูลราคาที่ตลาดกลาง 2.พัฒนาระบบการค้ายางที่เป็นกระดาษ หรือ ETF โดยตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้บริหารหลังการควบรวม AFET และ TFEX 3.เพิ่มการใช้ยางในประเทศจาก 14% เป็น 20-30% เพื่อลดความเสี่ยงด้านส่งออกเวลาตลาดส่งออกมีปัญหา 4.นโยบายบริหารการยางต้องชัดเจน ซึ่งหลังพ.ร.บ.การยางฯ บังคับใช้ควบคู่กับพ.ร.บ.ควบคุมการยางในการบริหารจัดการจะชัดเจนขึ้น