การที่ดัชนีมีการปรับตัวลดลงและค่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ค่อนข้างมากสะท้อนให้เห็นถึงสถานะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่ยังอ่อนแอเป็นอย่างมาก เมื่อวิเคราะห์ลงไปในแต่ละปัจจัยขับเคลื่อนพบว่าปัจจัยที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน(ดัชนีเท่ากับ 6.45) การส่งออกสินค้า(ดัชนีเท่ากับ 7.26)การลงทุนภาคเอกชน(ดัชนีเท่ากับ 9.68) ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐยังคงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่ เห็นได้จากค่าดัชนีที่อยู่ในระดับ 38.71 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำและเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งก่อนที่ค่าดัชนีเท่ากับ 38.03 ขณะที่การท่องเที่ยวจากต่างประเทศเป็นปัจจัยเดียวที่ทำงานได้ดีโดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 58.06 เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนและอยู่ในระดับที่สูงกว่า 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 3 เดือน
ด้านความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยใน 3 เดือนข้างหน้า ค่าดัชนีอยู่ที่ 58.41 ลดลงจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา (ค่าดัชนีเท่ากับ 70.35) เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในระยะ 6 เดือนข้างหน้าที่ค่าดัชนีอยู่ที่ 72.99 ลดลงจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา(ค่าดัชนีเท่ากับ 80.99) ซึ่งการที่ค่าดัชนียังอยู่ในระดับที่สูงกว่า 50 สะท้อนให้เห็นว่า นักเศรษฐศาสตร์ยังคงมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าจะยังคงปรับตัวดีขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่ความมั่นใจดังกล่าวมีระดับที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากการสำรวจ 3 ครั้งก่อนหน้า แสดงให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจข้างหน้าจะดีขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่การดีขึ้นดังกล่าวจะอยู่ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและเชื่องช้า
ด้านความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ในประเด็นวัฏจักรเศรษฐกิจว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงใดของวัฏจักร พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 52.4 เห็นว่าอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย (Recession) รองลงมาร้อยละ 20.6 เห็นว่าอยู่ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว (Recovery) และร้อยละ 14.3 เห็นว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำ (Trough) มีเพียงร้อยละ1.6 ที่เห็นว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงรุ่งเรือง (Peak) เมื่อแบ่งวัฏจักรออกเป็น 2 ฟาก คือ ฟากเศรษฐกิจขยายตัวจนถึงจุดสูงสุด(ร้อยละ 22.2) และ ฟากเศรษฐกิจถดถอยจนถึงจุดต่ำสุด(ร้อยละ 66.7) แล้วเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนหน้าในเดือนมกราคมที่ผ่านมาจะพบว่า เศรษฐกิจปัจจุบันอยู่ในภาวะถดถอยหรือชะลอตัวซึ่งแตกต่างจากการสำรวจครั้งก่อนหน้าที่มองว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัว
กรุงเทพโพลล์ ได้สำรวจความเห็น นักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 25 แห่ง จำนวน 63 คน โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 – 21 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา