พลังงานคาดใช้น้ำมันผลิตไฟฟ้าทดแทนช่วงพม่าหยุดส่งก๊าซฯไม่กระทบค่าเอฟที

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 30, 2015 14:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายทวารัฐ สูตะบุตร รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การบริหารจัดการเพื่อรองรับสถานการณ์ในช่วงการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากเมียนมาร์ในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมานั้น สามารถบริการจัดการได้ดีทำให้สถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประเทศในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่อย่างไรก็ตาม การที่โรงไฟฟ้าส่วนหนึ่งต้องเดินเครื่องผลิตด้วยน้ำมันที่มีราคาแพงกว่าเพื่อทดแทนก๊าซฯนั้น เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ(เอฟที)

ในช่วงที่มีการหยุดจ่ายก๊าซฯจากเมียนมาร์ ส่งผลให้โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซฯไม่สามารถเดินเครื่องได้ และจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงสำรองทดแทน โดยโรงไฟฟ้า ได้แก่ โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าราชบุรี โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าหนองแซง โรงไฟฟ้าแก่งคอย โรงไฟฟ้าราชบุรีเพาเวอร์ และโรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้ จำเป็นต้องเดินเครื่องด้วยน้ำมันเตา หรือน้ำมันดีเซลเพิ่มเติม เบื้องต้นมีการใช้น้ำมันเตาไปทั้งสิ้น 112.08 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซล 12.71 ล้านลิตร

"ในส่วนของการใช้เชื้อเพลิงทดแทนดังกล่าว สำนักงาน กกพ. จะพิจารณาในส่วนค่าไฟฟ้าเอฟทีต่อไป ซึ่งคาดว่าแทบจะไม่มีผลกระทบต่อค่าเอฟทีเลย"นายทวารัฐ กล่าว

นายทวารัฐ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังวิกฤตพลังงาน (EC-MC) ซึ่งถือเป็นการรองรับสถานการณ์ช่วงการหยุดจ่ายก๊าซฯจากเมียนมาร์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ช่วงสำคัญ ได้แก่ แหล่งยาดานาระหว่างวันที่ 10-19 เม.ย.58 และแหล่งซอติก้า ระหว่างวันที่ 20- 27 เม.ย.58 โดยตลอดช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงพลังงานพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันเฝ้าระวังระบบการผลิตไฟฟ้า การจัดหาเชื้อเพลิงทดแทนให้เพียงพอ และตรวจสอบคุณภาพการให้บริการให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งพบว่าไม่เกิดเหตุการณ์ใดๆ และสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประเทศในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ตลอดช่วงการเฝ้าระวังวิกฤตพลังงานจากการหยุดจ่ายก๊าซฯจากเมียนมาร์ดังกล่าว ยอดการใช้ไฟฟ้าตลอดช่วงที่ผ่านมา มียอดต่ำกว่าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)คาดการณ์ไว้ 448.6 ล้านหน่วย หรือเฉลี่ยวันละ 24.9 ล้านหน่วย

นอกจากนี้ จากโครงการความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้า (Demand Response) ซึ่งเป็นมาตรการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้ประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ที่จะเปิดรับซื้อ "ผลประหยัดไฟฟ้า" กับกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ในช่วงวันที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ วันที่ 10 , 17 ,18 และ 20 เม.ย.58 โดยมีอัตราอุดหนุน 3 บาท/หน่วย

จากผลการดำเนินงานพบว่า มีผู้เข้าร่วมโครงการจาก ภาคอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ (Hypermart) และโรงแรม ทั่วประเทศเข้าร่วม 937 มิเตอร์ ซึ่งสามารถร่วมกันลดใช้ไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 507.43 เมกะวัตต์ในวันที่ 17 เม.ย. และภาพรวมของโครงการฯ ทั้ง 4 วัน สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้เฉลี่ย 322.06 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 64.4% ของเป้าหมายโครงการฯ ที่กำหนดไว้ 500 เมกะวัตต์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ