ทั้งนี้ รมว.พาณิชย์จะร่วมกับรัฐมนตรีการค้าเอเปคให้การสนับสนุนในประเด็นที่เอเปคต้องการให้บรรลุผลตามเป้าหมาย โดยเฉพาะเรื่องการยกระดับวาระการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการผลักดันอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อมุ่งไปสู่การเปิดเสรีในปี 2563 หรือที่เรียกว่า เป้าหมายโบกอร์ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวของเอเปคตั้งแต่ปี 2537 รวมถึงการดำเนินงานเพื่อนำไปสู่การเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีของเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific: FTAAP) หรือที่เรียกว่า เอฟแทป โดยจะร่วมกันศึกษาเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการที่จะเริ่มเจรจาจัดทำ FTAAP ระหว่างสมาชิกเอเปค ซึ่งกำหนดให้แล้วเสร็จภายในปีหน้า
ในปีนี้ เอเปคชูประเด็นเกี่ยวกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของประเทศไทยที่ได้ยกเรื่อง SMEs ให้เป็นวาระแห่งชาติด้วย โดยเอเปคจะมุ่งเน้นให้ SMEs เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดระดับโลกมากขึ้น ผ่านความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิ การอำนวยความสะดวกทางการค้า การเข้าถึงแหล่งเงิน และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย เนื่องจาก SMEs ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยและจะเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำเพื่อนำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมต่อไป
นายธวัชชัย กล่าวต่อว่า ผลจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 21 นี้ จะเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของสมาชิกเอเปคในการขับเคลื่อน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สำหรับการประกาศเจตนารมณ์ของผู้นำเอเปคที่จะให้เกิดความมั่งคั่ง ยั่งยืน และเท่าเทียม ของเศรษฐกิจภายในภูมิภาค
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากการเข้าร่วมเวทีเอเปคมาโดยตลอด เนื่องจากเอเปคเป็นเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่ไม่มีพันธะผูกพัน และส่วนใหญ่เป็นการจัดกิจกรรมที่มุ่งให้เกิดความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ระหว่างสมาชิกด้วยกัน