สำหรับพื้นที่ก่อสร้างอยู่บริเวณด้านใต้ประชิดด่านพรมแดนไทย-ลาวบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 (นครพนม) ได้มีการจัดวางผังการใช้ประโยชน์ จำแนกตามพื้นที่กิจกรรมหลัก 5 ส่วน เนื้อที่รวม 606 ไร่ ได้แก่ ส่วนที่ 1 ศูนย์การขนส่งสินค้าเนื้อที่ 174 ไร่ ส่วนที่ 2 สถานีขนส่งผู้โดยสาร เนื้อที่ 53 ไร่ ส่วนที่ 3 ศูนย์ส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าผ่านแดนของพาณิชย์ จ.นครพนม เนื้อที่ 35 ไร่ และพื้นที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่ศุลกากร เนื้อที่ 65 ไร่ ส่วนที่ 4 พื้นที่เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสู่ระบบราง เนื้อที่ 194 ไร่ และส่วนที่ 5 ศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า เนื้อที่ 85 ไร่
"โครงการศูนย์การขนส่งชายแดนนี้ ถือเป็นโครงการที่กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่จ.นครพนม และใกล้เคียง รวมถึงสอดคล้องกับแนวนโยบายหลักในการผลักดันให้เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพิ่มมูลค่าการค้าลงทุนในพื้นที่ชายแดนได้มากขึ้นในอนาคต...แรกทีเดียวเป็นการเสนอให้โครงการก่อสร้างโดยรัฐทั้งหมด และให้เอกชนเป็นผู้รับสัมปทานเพื่อดำเนินบริหารจัดการ หาเครื่องมืออุปกรณ์ยกขน และบำรุงรักษาตลอดอายุสัมปทาน 10 ปี วงเงินประมาณ 177 ล้านบาท ซึ่งท่านนายกฯเห็นว่าเป็นโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูง หากเป็นไปได้อยากให้เอกชนมาร่วมลงทุนตั้งแต่ต้น เพื่อประหยัดงบประมาณรายจ่ายบางส่วน ที่ประชุมมีมติรับหลักการและให้กลับไปจัดทำรายละเอียดสัดส่วนการลงทุน และผลตอบแทนการลงทุนให้ชัดเจน และให้เป็นไปตามกรอบของพ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 เพื่อนำเสนอ ครม.อีกครั้ง"พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
สำหรับวัตถุประสงค์ของโครงการคือเป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า รองรับกิจกรรมการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทย ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยลาวทางถนนสาย R12 ไปยังสาธารณรัฐสังคมเวียดนาม และภาคตะวันตกของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 (นครพนม) นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One stop service) สามารถดำเนินพิธีการที่เกี่ยวกับการนำเข้า และส่งออกได้ในจุดเดียว อีกทั้งเพื่อเตรียมการรองรับการเชื่อมต่อระบบการขนส่งจากถนนไปสู่ระบบรางในอนาคต และ เพื่อเตรียมการรองรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจจังหวัดนครพนมในอนาคต
ทั้งนี้ คาดการณ์ปริมาณขนส่งสินค้าผ่านศูนย์การขนส่งชายแดน จ.นครพนม ที่จะเข้ามาใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ของศูนย์การขนส่งชายแดน แบ่งเป็นกลุ่มสินค้านำเข้าที่มีศักยภาพ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าทั่วไป อาทิ สินค้าแฟชั่น อุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าไม้ และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมโดยในปี 2565 จะมีปริมาณนำเข้า 3.27 แสนตัน เพิ่มขึ้นเป็น 3.76 แสนตัน ในปี 2570 ถึงปี 2580 เพิ่มขึ้นเป็น 4.76 แสนตัน
และกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีศักยภาพ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าทั่วไป กลุ่มสินค้าพลังงาน และกลุ่มสินค้ากสิกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตร คาดการณ์ในปี 2565 จะมีปริมาณส่งออก 5.55 แสนตัน เพิ่มขึ้นเป็น 7.34 แสนตัน ในปี 2570 ถึงปี 2580 เพิ่มขึ้นเป็น 1.112 ล้านตัน