วันนี้ กนง. ได้มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% โดยในการประชุมครั้งนี้ กนง. ประเมินว่าความเสี่ยงในการเกิดภาวะเงินฝืดอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะสูงขึ้นในครึ่งปีหลังจากผลของฐานราคาน้ำมันที่สูงทยอยหมดไป ขณะที่การอุปโภคบริโภคยังขยายตัว ราคาสินค้าโดยส่วนใหญ่ยังทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น และการคาดการณ์เงินเฟ้ออยู่ระดับใกล้เคียงกับเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งแตกต่างจากการประชุมครั้งก่อนในวันที่ 29 เมษายน ที่ กนง. แสดงความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่มีโอกาสติดลบสูงขึ้นและการคาดการณ์เงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลง
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.50% ในปัจจุบันใกล้กับระดับ 1.25% ที่เป็นระดับต่ำที่สุดของการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2009 ที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลก
ในการประชุมครั้งนี้ กนง. กล่าวว่า “พร้อมใช้ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy space) ที่มีอยู่อย่างเหมาะสม" ดังนั้น หากเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าที่ กนง. ประเมินไว้ เช่น การบริโภคและการส่งออกแย่กว่าที่คาด หรือค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านจนอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จะเพิ่มโอกาสที่ กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้ง
ปัจจุบันปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอ ตัวชี้วัดการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังชะลอตัวต่อเนื่อง การส่งออกมีแนวโน้มหดตัว อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยสูงที่สุดในภูมิภาค ในขณะที่แม้ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่ามาอยู่ที่ระดับ 33.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ยังคงแข็งค่าหากเปรียบเทียบกับค่าเงินของอินโดนีเซียและมาเลเซีย ดังนั้น อีไอซีจึงมองว่ายังมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงได้อีกครั้ง