อย่างไรก็ตาม KBANK คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจช่วงที่ผ่านมา ทั้งในไตรมาส 1 ของปีนี้ และข้อมูลเศรษฐกิจเดือน เม.ย.58 ที่อ่อนแออาจทำให้ ธปท.ต้องปรับลดประมาณอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ปี 58 ในวันที่ 19 มิ.ย.นี้จากเติบโต 3.8% ลงมาใกล้เคียงกับระดับที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองไว้ที่ 2.8%
เนื่องจากการส่งออกไทยอาจไม่สามารถขยายตัวได้ หลังจากช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่าเฉลี่ยเพียงแค่เดือนละ 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น หากจะทำให้การส่งออกทั้งปีขยายตัว ช่วงที่เหลือของปีนี้จะต้องมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยสูงถึงเดือนละ 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับ แม้การท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นแรงหนุนเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่มองว่าทั้ง 2 ปัจจัยไม่เพียงพอจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากมีสัดส่วนต่อจีดีพีที่ต่ำเกินไป
"เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังไม่กลับมาฟื้นตัว โดยการบริโภคในประเทศและการส่งออกยังคงฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความเปราะบางของประเทศในกลุ่มอาเซียนและจีน ปัจจัยหนึ่งที่กดดันการส่งออกไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านคือความไม่สามารถในการผลิตสินค้าไฮเทคและการเปลี่ยนแปลงของรสนิยมในการบริโภค"น.ส.ปารีณา กล่าว
น.ส.ปารีณา สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังนั้น มองว่าเศรษฐกิจโลกจะมีสหรัฐฯเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่เศรษฐกิจอื่นๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น และยูโรยังคงมีความเปราะบาง โดยเศรษฐกิจสหรัฐเห็นการฟื้นตัวในเกณฑ์ดี แม้จะชะลอตัวลงบ้างในช่วงไตรมาสแรก แต่สัญญาณจากตลาดแรงงานเริ่มบ่งชี้ว่าจะเห็นเศรษฐกิจกลับมาเร่งตัวขึ้นได้ในปีหลัง ซึ่งแม้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังอยู่ในอัตราต่ำกว่าเป้าหมายของทางการ แต่โดยรวมแล้วมีสาเหตมาจากราคาพลังงาน ดังนั้นจึงมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ พร้อมที่ก้าวเข้าสู่ช่วงของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ขณะที่เศรษฐกิจจีนมีความน่ากังวลมากที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนยังชะลอตัว สะท้อนจากการนำเข้าที่หดตัวในระดับสูง โดยความเสี่ยง 3 ปัจจัยสำคัญ คือ หนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นอยู่ในระดับสูง, กิจกรรมภาคอสังหาริมทรัพย์ยังหดตัว และภาคการเงินที่ไม่เป็นทางการ(Shadow banking)