"จากข่าวการให้สัมภาษณ์ของท่านนายกรัฐมนตรี เรื่องการให้เลิกใช้แก๊ส LPG ภายใน 1-2 ปีข้างหน้าและจะขึ้นภาษีสรรพสามิต LPG จำนวน 3-4 บาท/ลิตรนั้น จะเป็นการสร้างผลกระทบมหาศาลต่อประชาชนเป็นจำนวนหลายล้านครัวเรือน และรถยนต์ที่ใช้ LPG เป็นเชื้อเพลิงกว่า 1.5 ล้านคันทั่วประเทศ...หากมีการยกเลิกใช้ LPG ภาคชนส่ง จะเป็นการยิ่งสร้างปัญหาและผลกระทบกับผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งประกอบอาชีพสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย และมีมายาวนานกว่า 40 ปี ต้องได้รับความเดือดร้อนถึงขั้นต้องปิดกิจการ จำนวนมากกว่า 5 พันกิจการ ผู้คนตกงานอีกหลายหมื่นอัตรา"เอกสารเผยแพร่ของสมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย ระบุ
ในวันนี้สมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย โดยนายสุรศักดิ์ นิตติวัฒน์ นายกสมาคมฯ และตัวแทนจากแต่ละภาคส่วน แถลงถึงผลกระทบที่ได้รับตลอดเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่มีข่าวการจะปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต LPG ภาคขนส่ง พร้อมได้แสดงจุดยืนที่คัดค้านและไม่เห็นด้วยหากรัฐเจาะจงขึ้นภาษี LPG ภาคขนส่งอย่างไม่เป็นธรรม
สมาคมฯ ระบุว่า กระทรวงพลังงานกำลังจะใช้นโยบายไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ไม่โปร่งใส เจาะจงขึ้นภาษี LPG ภาคขนส่งเท่านั้น แต่ไม่ขึ้นภาคปิโตรเคมี และหากพิจารณาการขึ้นภาษีเพราะค่าความร้อนนั้น ก็เห็นว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 มีค่าความร้อนใกล้เคี่ยง LPG ที่ 8 หมื่นกว่าบีทียู กลับเก็บภาษีน้ำมันเพียง 84 สตางค์/ลิตร ขณะที่ LPG เก็บภาษีที่ 1.20 บาท/ลิตร รวมถึง E85 ยังได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 7.23 บาท/ลิตร ซึ่งในส่วนนั้นมีเงินจากผู้ใช้ LPG จ่ายอยู่ 52 สตางค์/ลิตร และเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV) กลับไม่เคยเสียภาษีใดๆเลย
พร้อมกันนี้สมาคมธุรกิจก๊าซฯ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้พลังงานทางเลือกที่สะอาด สะดวกและเหมาะสมนี้ ด้วยมาตรการลดภาษีสรรพสามิต ลดค่าจอดรถในเมืองหลวง ทั้ง NGV และ LPG อย่างเท่าเทียมกัน ขณะที่การจะยกเลิกการใช้ LPG ในรถยนต์นั้นอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วย
ทั้งนี้ สมาคมฯจะได้จัดกิจกรรมโหวตออนไลน์ 1 ล้านเสียงทั่วประเทศ โดยให้ประชาชนและผุ้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ปัญหาความเดือดร้อน ขอความเป็นธรรมในสังคม โดยแสดงจุดยืนคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของภาครัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนการใช้ LPG ภาคขนส่ง ด้วยการลงชื่อโหวตผ่านสื่อออนไลน์ให้ได้มากกว่า 1 ล้านคน จากนั้นจะรวบรวมรายชื่อทั้งหมดส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) กระทรวงพลังงาน และรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)พิจารณาในลำดับต่อไป