จากนโยบายดังกล่าว พบว่า สามารถลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังลงได้ 3 ล้านไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 14,366 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภัยแล้งยังคงส่งผลต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงออกประกาศขอความร่วมมือจากเกษตรกรในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา จำนวน 22 จังหวัด เลื่อนการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2558/2559 ออกไปจนถึงเดือนปลายเดือนกรกฎาคม 2558 จากฤดูกาลเพาะปลูกปกติ (พฤษภาคม-ตุลาคม 2558) เพื่อลดความเสี่ยงจากผลผลิตที่อาจเสียหาย
ในเรื่องดังกล่าว สศก. ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ภัยแล้ง ซึ่งคาดว่า หากได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรอย่างเต็มที่ อาจไม่กระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าวนาปี เนื่องจากพันธุ์ข้าวที่เกษตรกรใช้ปลูกเป็นพันธุ์ข้าวไม่ไวต่อแสง เช่น พันธุ์ กข. พันธุ์ปทุมธานี พันธุ์ชัยนาท เป็นต้น สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี สามารถเลื่อนการปลูกออกไปได้ อีกทั้งเป็นการกระจายช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นระยะๆ ซึ่งถือว่าอาจเป็นการส่งผลดีต่อราคาที่เกษตรกรขายได้ โดยผลผลิตข้าวทุ่งนเรศวรจะออกช่วงเดือนกันยายน 2558 ลุ่มน้ำเจ้าพระยาจะออกช่วงเดือนธันวาคม 2558 โดยสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น สศก. คาดว่าอาจจะกระทบต่อ GDP ภาคเกษตร ปี 2558 ลดลงไปจากที่คาดการณ์ไว้อีกไม่เกินร้อยละ 0.04
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมกับกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด ในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา และฝ่ายทหาร ได้ลงพื้นที่ชี้แจง ทำความเข้าใจ และขอความร่วมมือเกษตรกรแล้ว พร้อมเตรียมแนวทางช่วยเหลือและมาตรการรองรับอย่างต่อเนื่อง เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ การผลิตข้าวและพืชที่ใช้น้ำน้อยและประหยัดน้ำ รวมทั้งการวิจัย พัฒนา และส่งเสริมพันธุ์พืช ปศุสัตว์ และประมงที่ทนร้อนทนแล้ง
ทั้งนี้ สศก.จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อเตรียมรายงานภาวะเศรษฐกิจการเกษตรครึ่งแรกของปี 2558 และแนวโน้มปี 2558 ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2558 ต่อไป