เหตุผลดังนี้ (1) มีการเปิดเผยข้อมูลการติดเชื้อโรคเมอร์สอย่างรวดเร็ว และชัดเจนกว่าในสมัยโรค SARS ส่งผลให้มีการควบคุมได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในประเทศต่างๆ (2) ท่าอากาศยานนานาชาติของไทยได้มีการจัดตั้งจุดคัดกรองผู้โดยสารขาเข้าจากสายการบินที่มาจากประเทศตะวันออกกลางและเกาหลีใต้ และ (3) กระทรวงสาธารณสุขได้มีการติดตามผู้ที่ได้สัมผัสกับผู้ป่วย และสร้างระบบคัดกรองผู้ป่วย ตลอดจนปรับระบบการดูแลผู้ป่วยในสถานพยาบาล ให้มีการป้องกันควบคุมการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกยังได้ชื่นชมว่าประเทศไทยสามารถมีระบบการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังโรคติดต่ออันตรายอยู่ในเกณฑ์ดีมาก จนสามารถพบผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและสามารถนำเข้าสู่ระบบคัดแยกตั้งแต่ก่อนโรคจะแสดงอาการและแพร่เชื้อ อีกทั้งประเทศต่างๆ ยังไม่ได้ประกาศการยกระดับการเตือนการเดินทาง(Travel Alert)มายังประเทศไทย เหมือนกับกรณีที่ฮ่องกงประกาศเตือนการเดินทางไปยังประเทศเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม จากกรณีศึกษาเหตุการณ์โรคติดต่อต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร ธุรกิจการขนส่ง และธุรกิจการค้าปลีกค้าส่ง เป็นต้น ซึ่งจากประสบการณ์ของไทยในอดีต การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสามารถเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงเพียงระยะเวลาสั้นๆ ช่วงระยะเวลาภายใน 2-5 เดือนหลังเหตุการณ์
จากข้อมูลการเดินทางล่าสุดยังพบว่า สถานการณ์โรคเมอร์สยังไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางผ่านด่านสุวรรณภูมิในวันที่ 18-21 มิ.ย.58 ยังคงขยายตัวในระดับสูงมากที่ 57.8% ต่อปี
นอกจากนี้ อัตราการจองผ่านบริษัทนำเที่ยวและห้องพักต่างๆ ยังไม่ได้มีการยกเลิกแต่อย่างใด ดังนั้น สศค. จึงเชื่อมั่นว่าสถานการณ์โรคเมอร์สจะสามารถควบคุมได้ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งจะได้มีการติดตามสถานการณ์โรคเมอร์สและผลกระทบทางเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป