พร้อมกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือ ดังนี้
1.กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวนาปีไปแล้ว กรมชลประทานได้ประกาศว่าจะดำเนินการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวนาปีที่ได้เพาะปลูกแล้ว จำนวนประมาณ 2.85 ล้านไร่ ได้ให้พนักงาน ธ.ก.ส.สาขา ประสานความร่วมมือกับส่วนราชการในพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและครบถ้วน อย่างไรก็ตามหากผลผลิตเกิดความเสียหายในระยะต่อไป ธนาคารมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือไว้แล้วโดยจะขยายระยะเวลาชำระหนี้เดิมให้ ดังนั้นเกษตรกรไม่ต้องกังวลในเรื่องภาระหนี้สินที่มีอยู่กับธนาคารแต่อย่างใด
2.กรณีที่เกษตรกรลูกค้ากู้เงินไปแล้วแต่ยังไม่ได้เพาะปลูก ได้ให้พนักงานชี้แจงการขอความร่วมมือของกรมชลประทานที่ขอให้ชะลอการเพาะปลูกไว้ก่อนและให้ติดตามสถานการณ์ความพร้อมในการเพาะปลูกเมื่อมีฝนตกชุกหรือมีปริมาณน้ำที่เพียงพอ จากกรมอุตุนิยมวิทยาและกรมชลประทานซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกชุกหรือปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกประมาณ ปลายเดือนกรกฎาคม 2558 ทั้งนี้ สำหรับพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับเงินกู้ไปแล้วจะแนะนำให้ฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากไว้ก่อนเมื่อสถานการณ์เหมาะสมจะได้มีเงินทุนพร้อมสำหรับการเพาะปลูกต่อไป
3.กรณีเกษตรกรลูกค้ายังไม่ได้กู้เงินและยังไม่ได้เพาะปลูก ธนาคารขอให้ชะลอการกู้เงินจากธนาคารออกไปก่อน จนกว่าจะมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก “ จากนี้ไปหากเกิดสถานการณ์ภัยแล้งเป็นระยะยาวนานจนไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ส่งผลให้เกษตรกรลูกค้าประสบปัญหาการขาดรายได้ และมีผลกระทบต่อการชำระหนี้เดิม ธนาคารจะพิจารณาขยายเวลาการชำระหนี้หรือดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับเกษตรกรลูกค้าตามวิธีปฏิบัติของธนาคาร เป็นกรณีไป นอกจากนี้ กรณีที่เกษตรกรลูกค้าได้ขอคำแนะนำรูปแบบการผลิตที่เหมาะสมจากเกษตรอำเภอ เพื่อที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ทดแทน หรือต้องการฟื้นฟูการผลิตที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งหากเกษตรกรขาดเงินทุนหมุนเวียน สามารถไปติดต่อขอใช้สินเชื่อจากธนาคารได้" นายลักษณ์กล่าว