ขณะที่ อัตราการใช้กำลังผลิตเดือน พ.ค.58 อยู่ที่ 56.91% ลดลงจาก 61.57% ใน พ.ค.57 แต่เพิ่มขึ้นจากเม.ย.58 ที่อยู่ที่ 52.68%
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการ สศอ. เปิดเผยว่า ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลงอาทิ ฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ (HDD) รถยนต์ โทรทัศน์ เบียร์และเครื่องประดับ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไม่รวมทองคำแท่ง หดตัว 5.0% ตามการลดลงของการส่งออกสินค้าสำคัญ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์
รวมถึงมูลค่าส่งออกสินค้าที่มีราคาเกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันดิบ อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ที่ยังปรับตัวลดลง ขณะที่การส่งออกรถยนต์ ที่เคยขยายตัวดีกลับมาติดลบในเดือนนี้ การนำเข้าสินค้าทุนหดตัว 8.0% ขณะที่การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ(ไม่รวมทองคำ)หดตัว 10.6% ตามทิศทางการผลิตเพื่อการส่งออกที่ลดลง
ทั้งนี้ การผลิตรถยนต์มีจำนวน 135,045 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.76% การจำหน่ายรถยนต์ในประเทศมีจำนวน 56,942 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.28% ทั้งนี้ การลดลงเป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจ ประกอบกับราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ หนี้ในภาคครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และสำหรับการส่งออกมีจำนวน 88,937 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.17%
ขณะที่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปรับตัวลดลง 15.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวลดลง 14.92% สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ HDD ปรับตัวลดลง 19.95% เนื่องจากความต้องการคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊คในตลาดโลกลดลง สำหรับ Other IC เพิ่มขึ้น 12.01% ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการใช้ในอุปกรณ์สื่อสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของอุปกรณ์สื่อสาร/อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีความต้องการเพิ่มขึ้นส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้า ปรับตัวลดลง 15.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทั้งหมดปรับตัวลดลง เช่น เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนแฟนคอยล์ยูนิต คอมเพรสเซอร์ กระติกน้ำร้อน หม้อหุงข้าว และเครื่องรับโทรทัศน์ ลดลง 0.74% 8.09% 12.67% 26.37% และ 85.64% ตามลำดับ เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศชะลอตัวลง จึงส่งผลให้ความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย รวมถึงได้รับผลกระทบจากตลาดส่งออกหลักที่ยังไม่ฟื้นตัว(ยุโรป และญี่ปุ่น) สำหรับเครื่องรับโทรทัศน์มีผู้ผลิตบางรายย้ายฐานการผลิตไปประเทศในกลุ่มอาเซียน ยกเว้นเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน (คอนเดนซิ่งยูนิต) เพิ่มขึ้น 7.97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า มีปริมาณ 1.27 ล้านตัน ลดลง 23.03% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การผลิตมีปริมาณ 0.62 ล้านตันลดลง 10.29% การส่งออกมีมูลค่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯลดลง 31.03% สำหรับการนำเข้า 565 ล้านเหรียญสหรัฐฯลดลง 20.42% เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงชะลอตัวอยู่
ผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบนมีการผลิตที่ลดลงทุกตัว เช่น (1) เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนลดลง เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศจากอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ยังคงทรงตัว รวมทั้งเป็นผลมาจากการนำเข้าเหล็กจากประเทศอิหร่าน, บราซิลและตุรกีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่ไทยไม่ได้ใช้มาตรการ AD (2) เหล็กแผ่นเคลือบดีบุกลดลง เนื่องจากอุตสาหกรรมผลไม้กระป๋องมีการผลิตที่ลดลงเนื่องจากภัยแล้งทำให้ไม่มีวัตถุดิบในการผลิต (3) เหล็กแผ่นเคลือบโครเมียมลดลง เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารทะเลกระป๋อง เช่น ทูน่ากระป๋อง มีการส่งออกที่ลดลง เนื่องจากตลาดต่างประเทศชะลอตัวจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก (4) เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีลดลง เนื่องจากมีผู้ผลิตเหล็กรายหนึ่งได้หยุดการผลิตเพื่อปรับสายการผลิตใหม่ และ (5) เหล็กแผ่นรีดเย็นลดลง เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ลดการผลิตลง
สำหรับเหล็กทรงยาวมีการผลิตที่ลดลง เนื่องจากอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ชะลอตัว โดยจากข้อมูลเครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น จำนวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อปล่อยใหม่จากธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมียอดการได้รับอนุมัติสินเชื่อที่ลดลง
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตในกลุ่มสิ่งทอ ได้แก่ เส้นใยสิ่งทอ และผ้าผืนลดลง 3.92% และ 4.75% ตามลำดับ สอดคล้องกับการจำหน่ายที่ลดลงทั้งการจำหน่ายในประเทศและส่งออก เนื่องจากความต้องการบริโภคเส้นใยสังเคราะห์ของตลาดลดลง ในส่วนผลิตภัณฑ์ผ้าผืน ผู้ผลิตมีสต็อกค่อนข้างมาก ประกอบกับผู้ใช้ในประเทศบางรายนำเข้าผ้าจากต่างประเทศ เนื่องจากผ้าที่มีอยู่ไม่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ แต่สำหรับเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีการผลิตเพิ่มขึ้น 0.61% ตามความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น 7.67% โดยเฉพาะเสื้อผ้านักเรียนที่จะเริ่มภาคการศึกษาใหม่และเสื้อผ้ากีฬาต่าง ๆ
ด้านการส่งออกสิ่งทอมีมูลค่าลดลง 3.96% ในผลิตภัณฑ์เส้นใยสิ่งทอตามการลดลงของตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนามและอินเดีย ส่วนผลิตภัณฑ์ผ้าผืนมีมูลค่าส่งออกลดลง 18.50% ในตลาดอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม บังคลาเทศ จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สำหรับกลุ่มเสื้อผ้าสำเร็จรูปมีมูลค่าการส่งออกลดลง 7.87% จากคำสั่งซื้อในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปลดลง เนื่องจากถูกยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(GSP)ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.58 ที่ผ่านมา
อุตสาหกรรมอาหาร การผลิตในภาพรวมปรับตัวลดลงจากปีก่อน 7.6% เนื่องจากการผลิตน้ำตาล และกลุ่มผักผลไม้ที่ปรับตัวลดลง สำหรับการส่งออกในภาพรวมลดลงจากปีก่อน 0.8% จากผลกระทบจากความไม่แน่นอนของผลสรุปการแก้ไขวิกฤติการณ์ยูเครน-รัสเซีย-สหภาพยุโรป และวิกฤติการเงินของกรีซ ทำให้การส่งออกขยายตัวได้น้อย ส่วนการใช้จ่ายในประเทศยังทรงตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังได้รับผลกระทบจากอำนาจซื้อในประเทศชะลอตัวลง
นายอุดม กล่าวอีกว่า ในปีนี้ สศอ.ยังคงเป้า GDP ภาคอุตสาหกรรมที่ 2-3% และยังไม่ปรับเป้า MPI ทั้งปีที่ 3-4% รอดูผลกระทบจากภัยแล้ง-ปัญหากรีซ ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลกระทบในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าโดยปัญหากรีซอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกบ้าง
อย่างไรก็ตาม ยังคาดหวัง MPI จะเป็นบวกปลายไตรมาส 3/58 จาก 8 อุตสาหกรรมที่ยังมีแนวโน้มเป็นบวก คือ ยานยนต์และชิ้นส่วน, อาหาร, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, เหล็ก,ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิคส์, เคมีภัณฑ์, ปิโตรเคมี, เซรามิก
"มั่นใจว่า MPI ทั้งปียังเป็นบวก แต่จะบวกเท่าไหร่ต้องรอดู"นายอุดม กล่าว