สศก.ระบุชะลอทำนาปีรับปัญหาภัยแล้วกระทบผลผลิตลดเล็กน้อยแค่ 11%

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 3, 2015 10:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิด
เผยถึงสถานการณ์ภัยแล้งในขณะนี้ว่า หลังจากที่ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศงดส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง
และข้าวนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแม่กลอง ส่งผลต่อเนื่องถึงฤดูกาลเพาะปลูกข้าวนาปี โดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่า
ในช่วงเวลานี้จะยังมีฝนตกน้อย และจะเริ่มตกชุกตามฤดูกาลในช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนกรกฎาคม ดังนั้น ปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่าง
เก็บน้ำจึงยังน้อยกว่าปกติมาก ทำให้ต้องประกาศให้ชะลอการปลูกข้าวนาปีในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแม่กลองออกไปก่อน จนกว่าถึงช่วง
ฝนตกชุกตามฤดูกาล

เลขาธิการ สศก. กล่าวต่อไปว่า จากภาวะปกติของการปลูกข้าวนาปี ซึ่งจะให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อปีประมาณ 27 ล้านตัน โดยในปี 58 สศก. มีการคาดการณ์ปริมาณผลผลิตข้าวนาปีประมาณ 24.14 ล้านตัน จึงเห็นได้ว่าปริมาณการผลิตลดลงประมาณ ร้อยละ 11

"งการชะลอทำนาปีออกไปเป็นปลายเดือนกรกฎาคมนั้น อาจจะไม่กระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าวนาปีมากนัก และนวัตกรรม ใหม่ๆของการปลูกข้าวได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตลอดกล่าวคือ พันธุ์ข้าวที่เกษตรกรใช้ปลูกนั้น เป็นพันธุ์ข้าวไม่ไวต่อแสง เช่น พันธุ์ กข. พันธุ์ปทุมธานี พันธุ์ชัยนาท เป็นต้น สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี สามารถเลื่อนการปลูกออกไปได้ และมีความต้องการน้ำที่น้อยลง อีกทั้งเป็นการกระจายช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นระยะๆ ซึ่งถือว่าเป็นการส่งผลดีต่อราคาที่เกษตรกรขายได้อีกด้วย" เลขาธิการ สศก. กล่าว

นอกจากนี้ หากมาดูปัจจัยภายนอก พบว่า การคลี่คลายของวิกฤติเศรษฐกิจโลก เริ่มมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น เราไม่ได้ เผชิญกับภาวะเงินฝืด แม้ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อจะติดลบร้อยละ 1.27 แต่เงินเฟ้อที่ติดลบครั้งนี้เกิดจากปัจจัยการ ผลิตบางตัวทางด้านอุปทาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง จึงส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรที่ลดลงด้วย

อย่างไรก็ตาม ไทยได้ประโยชน์จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาก เพราะทำให้ต้นทุนสินค้าถูกลง อีกทั้งการบริโภค ภายในประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังขึ้นอยู่กับการเร่งเบิกจ่ายเงินลงทุนของภาครัฐ ที่จะต้องเร่งสร้างให้เกิดการจ้างงาน การกระจายลงสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงสถานการณ์ภัยแล้ง ที่ต้องมีการวางแผนและบริหารจัดการน้ำอย่างมีระบบและให้ได้ รับประโยชน์สูงสุด ตลอดจนการขับเคลื่อนด้วยภาคการท่องเที่ยวและภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Sector) และราคาสินค้าเกษตร ที่มีแนวโน้มดีขึ้น จะส่งผลทำให้การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนภายในประเทศเริ่มเกิดความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น สะท้อนไปยังกลุ่มสินค้า ภาคเกษตรดีขึ้นตามลำดับ

ทั้งนี้ การที่รัฐบาลจะมีมาตรการ แนวทาง และนโยบายการเกษตรออกมาสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เช่น การสนับสนุน ปัจจัยการผลิตต่างๆ ทางการเกษตร การปรับโครงสร้างภาคการเกษตร เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอย่างเป็นรูปธรรม การประกันภัยพืชผล การเกษตรและมาตรการอื่นๆ หากมีการดูแลภาคการผลิตสินค้าเกษตรอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ รวมทั้งเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัย แล้งได้นำเครื่องมือทางการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องสูบน้ำ เครื่องไถนาแบบเดินตามมาจำนำกับสถาน ธนานุบาลก็ให้เข้า โครงการจำนำไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อเพิ่มเงินสดสำรองหมุนเวียน ซึ่งในภาพรวมจะส่งผลโดยตรงกับเศรษฐกิจการเกษตรก็จะมีแนวโน้มที่ ดีตามไปด้วย อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้พยายามเร่งสร้างรายได้นอกภาคเกษตรให้กับเกษตรกร เพื่อเพิ่มรายได้ในส่วนภาคเกษตรกรที่ หายไป อันที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ของเกษตรกรในท้ายที่สุดอีกด้วย

นายเลอศักด์ กล่าวว่า หากติดตามการรายงานสถานการณ์อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตศูนย์สูตร ของสำนัก พัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา ตั้งแต่เดือนต้นปี 2558 ประกอบกับเมื่อวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติและแบบจำลองเชิง พลวัตแล้ว จะพบว่า เอลนีโญมีกำลังอ่อนถึงปานกลาง เนื่องจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรส่วนใหญ่สูง กว่าค่าปกติและขยายพื้นที่ไปทางตะวันออกมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยคาดหมายว่าความผิดปกติของอุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทร แปซิฟิกและระบบบรรยากาศในเขตศูนย์สูตรมีแนวโน้มสูงกว่าค่าปกติอย่างต่อเนื่อง และจะคงเป็นปรากฏการณ์เอลนีโญตลอดปี 2558

จากปรากฎการณ์ดังกล่าว กอปรกับปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลให้ประเทศไทยมีผลผลิตทางการเกษตรทิศทางที่ลด ลง นอกจากนี้ รายงานของ Clina (2007) ได้กล่าวถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อผลิตภาพการผลิตในภาคการเกษตรในช่วง 60 ปีข้างหน้าว่า จะส่งผลให้ผลิตภาพของภาคเกษตรในประเทศต่างๆทั่วโลก เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ ประเทศไทย ลาว อินเดีย ออสเตรเลียตะวันตกและเหนือ อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านผลิตภาพการผลิตที่ลดลง มากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์

ส่วนประเทศมาเลเซีย พม่า เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นกลุ่มประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านผลิตภาพ การผลิตที่ลดลงในช่วง 15 -25 เปอร์เซ็นต์ ประเทศออสเตรเลียตะวันออกและใต้ เป็นกลุ่มประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านผลิต ภาพการผลิตที่ลดลงในช่วง 5 -25 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ประเทศจีน มีการเปลี่ยนแปลงด้านผลิตภาพการผลิตที่เป็นไปได้ทั้งลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ และ เพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่จำนวนมาก และประเทศนิวซีแลนด์ มีการเปลี่ยนแปลงด้าน ผลิตภาพการผลิตที่คงที่ถึงเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสหรัฐอเมริกาตอนเหนือ มีการเปลี่ยนแปลงด้านผลิตภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น ที่ร้อยละ 5 เปอร์เซ็นต์ ถึงมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์

          ผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อผลิตภาพการผลิตในภาคการเกษตรในช่วง 60 ปีข้างหน้า

กลุ่มประเทศ                                                  การเปลี่ยนแปลง (%)
ไทย ลาว อินเดีย ออสเตรเลียตะวันตกและเหนือ                         มากกว่า -25
มาเลเซีย พม่า เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย                    -15 ถึง -25
ออสเตรเลียตะวันออกและใต้                                        -5 ถึง - 25
จีน                                                           -5 ถึง +5
นิวซีแลนด์                                                       0 ถึง + 5
สหรัฐอเมริกาตอนเหนือ                                            +5 ถึง มากกว่า 25

                                                            ที่มา : Clina (2007)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ