อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบไม่พบว่าเกิดการรั่วไหลในการใช้จ่ายงบประมาณ เพียงแต่อาจจะติดขัด ในเรื่องของขั้นตอนและระเบียบวิธีการดำเนินการที่รัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณมากขึ้น
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าไม่ได้เกิดจากการทำงานของข้าราชการ เพราะทุกฝ่ายทำงานเต็มที่
"ก็อยากให้มันมากกว่านี้ จริงๆ มันก็มากกว่าทุกปี แต่มันไม่ทันใจผม ไม่ทันใจผมไม่เท่าไหร่ ไม่ทันใจประชาชนด้วย..ผมอยากให้เร็วกว่าเดิม" นายกฯ ระบุ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า กระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐมีความแตกต่างจากรัฐบาลก่อนๆ เพราะรัฐบาลให้การใช้งบประมาณกระจายไปทุกพื้นที่ แต่ในอดีตใช้เบิกจ่ายงบประมาณก้อนเดียวแล้วให้บริษัทจัดซื้อจัดจ้างได้รับการประมูลไป
นายสมศักดิ์ โชติรัตนศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ให้เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 58 ในช่วงที่เหลืออีก 3 เดือนจากนี้ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงลงไปกำกับดูแลการเซ็นสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างในงบลงทุน รวมทั้งงบกลางให้ทันภายใน 31 ก.ค.นี้ ซึ่งหากไม่สามารถเซ็นสัญญาได้ทันก็จะถูกยึดงบประมาณของกระทรวงนั้นๆ คืน
"นายกฯ บอกว่าให้รัฐมนตรีไปกำกับดูแลการเซ็นสัญญาให้ทัน ถ้าไม่ทันก็ยึดเงินคืนมา เพื่อจะนำเงินไปแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ตามแผนยุทธศาสตร์ต่างๆ" ผ.อ.สำนักงบประมาณ กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของความคืบหน้าการใช้จ่ายงบลงทุน ณ สิ้นเดือน มิ.ย.58 พบว่ามียอดที่ได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 64% ซึ่งในจำนวนนี้แบ่งเป็น งบที่เบิกจ่ายไปแล้ว 48.4% และงบที่รอเบิกจ่ายอีก 15.54%
ผอ.สำนักงบประมาณ กล่าวว่า ในกรณีโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่รอลงนามในสัญญาอีก 5.9 หมื่นล้านบาทนั้น การเบิกจ่ายของบางหน่วยงานไม่จำเป็นต้องทำสัญญาก็สามารถเบิกจ่ายได้ เช่น องค์การมหาชน แต่ในส่วนที่เป็นหน่วยงานราชการอื่นๆ ที่ยังไม่ได้มีการทำสัญญานั้น ขณะนี้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ(คตร.), สำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลางกำลังช่วยกันเร่งรัดให้มีการทำสัญญาให้ทันภายใน 31 ก.ค.นี้
"ยอดที่น่าเป็นห่วงมีอยู่ประมาณ 5.9 หมื่นลบ. ที่ยังไม่ได้ทำสัญญาชัดเจน เรากำลังพิจารณาเร่งรัด ทางคตร., สำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลางกำลังช่วยกันเร่งรัดส่วนราชการกันอยู่" นายสมศักดิ์ กล่าว