กรณีของกรีซ ไม่มีผลกระทบต่อไทย เนื่องจาก ช่องทางการค้าระหว่างไทยกับกรีซมีเพียง 0.6% ไม่ถึง 1% ดังนั้นจึงไม่มีผลเท่าไหร่ ขณะที่สถาบันการเงินของไทยไม่มีการปล่อยสินเชื่อหรือมีซื้อพันธบัตรของยูโรค่อนข้างน้อย
"บาทเราก็คงจะอ่อนเมื่อเทียบกับเยน ดอลลาร์ แต่คงจะแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร คืออยู่ตรงกลาง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างที่ท่านผู้ว่าฯธปท.ได้คาดไว้ และผมก็ให้ท่านดูแลไปให้ดี ให้เคลื่อนไปอย่างมีเสถียรภาพ ไม่วูบวาบ เมื่อวานเงินบาทก็อ่อนลงอย่างมีเสถียรภาพ ก็คงเป็นแนวนี้สักพักนึงจนระดับใหม่ ซึ่งพอดีๆ ซึ่งจะช่วยส่งออกและไม่กระเทือนนำเข้านัก"
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตนเป็นห่วง คือ การเคลื่อนย้ายของเงินจากตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรเพื่อมาซื้อดอลลาร์ แต่หลังจากคุยกับนักลงทุนหุ้นแล้วเชื่อว่าไม่มาก ตลาดหุ้นเราเราไม่ได้สูญเงินไป แต่ที่ห่วงคือ การเคลื่อนย้ายจากตลาดพันธบัตร เพราะต่างชาติถือพันธบัตรของไทยอยู่
"ก็ถามผู้ว่าฯ ธปท.ว่าต่างชาติถือพันธบัตรเราอยู่เท่าไหร่ ท่านก็บอกว่า 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ผมก็ถามว่าเรามีเงินสำรองเท่าไหร่กรณีหากขอถอนแลกดอลลาร์เอาออกไป ท่านก็บอกมี 1.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็สบายใจ"
ส่วนกรณีของจีน มีผลทำให้ค่าเงินจีนลง ธปท.ก็ต้องดูตรงนี้ด้วย ต้องตามดูให้สมดุลด้วย ถ้าหยวนลงเราอาจจะลงตามบางส่วน เพราะจีนเป็นคู่ค้าใหญ่ แต่เราก็ต้องเตรียมการเพราะนักลงทุนตะวันตกพอเห็นจีนซึ่งคือเอเชียลงก็อาจจะขายหุ้นออกไป แต่เชื่อว่าจีนจะสามารถดูแลสถานการณ์ได้ดีเหมือนสมัย ค.ศ.1994 ก่อนเกิดวิกฤตฟองสบู่ทั้งเอเซีย