"ปีนี้น่าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในจุดต่ำสุดของวัฏจักรเศรษฐกิจ เนื่องจากมีปัญหาทั้งภายในและภายนอกที่เข้ามากระทบเครื่องจักรทางเศรษฐกิจแทบจะทุกตัว ทั้งปัจจัยการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนของภาคเอกชน ข้อจำกัดด้านรายจ่ายภาครัฐ และภาคการส่งออก ภาคการบริโภคมีปัญหาหนี้ครัวเรือนปรับตัวอยู่ในระดับสูงมากถึงร้อยละ 85-90(ตามนิยามเดิม) และสูงสุดติดหนึ่งใน 15 ของโลก จนก่อให้เกิดความกังวลว่า หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวได้" นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการ TDRI กล่าว
เช่นเดียวกับภาคการส่งออกของไทยก็อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากและมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวต่อไป เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ประกอบกันปัญหาเชิงโครงสร้างภายในที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนหนีจากกิจกรรมการผลิตมูลค่าเพิ่มต่ำไปยังกิจกรรมการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มได้ดีเพียงพอ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังตกขบวนในการเจรจาการค้าต่างๆ เช่น FTA ไทย-ยุโรปที่ล่าช้า และการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement : TPP) ที่ไทยไม่ได้เข้าร่วมเจรจาด้วย ทำให้กรอบการใช้สิทธิ์ในระดับพหุภาคีของไทยยังมีไม่เต็มที่มากนัก โดยกรอบการเจรจาดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการเปิดตลาดการค้าสินค้า บริการและการลงทุน ทำให้การสร้างความสอดคล้องในกฎระเบียบทางเศรษฐกิจลดลงไปด้วย
ขณะที่ในส่วนของสินค้าประเภทชิ้นส่วนยานยนต์ แม้ยังมีการเติบโตได้ดี แต่ต้องระวังเทคโนโลยีการผลิตหรือการออกแบบที่ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิตไทยจึงต้องมองเกมให้กว้างด้วยการวางแผนการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพื่อตอบโจทย์ตลาดให้มากยิ่งขึ้น
ด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เอกชนบางส่วนยังคงรอสัญญาณการผลักดันนโยบายที่แน่ชัดและมีผลประโยชน์ที่ดีจริงๆ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจคต่าง ๆ ที่ภาคเอกชนหรือนักลงทุนยังคงมีความไม่แน่ชัดในหลายๆด้าน ขึ้นกับว่าภาครัฐจะสามารถดำเนินโครงการได้ตามเป้าหมาย และโครงการดังกล่าวสามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด ในส่วนรายจ่ายภาครัฐในส่วนของรายจ่ายประจำ ยังมีข้อจำกัดทางด้านงบประมาณค่อนข้างมาก และไม่น่าจะสามารถเป็นกลจักรใหญ่ในการผลักดันเศรษฐกิจได้
ขณะที่ปัจจัยบวกด้านการท่องเที่ยว แม้ว่าจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่ขนาดของผลกระทบยังหวังพึ่งให้เป็นกลจักรใหญ่ไม่ได้มากนัก
นายนณริฏ เสนอแนะว่า จากสถานการณ์ที่เครื่องจักรเกือบทุกตัวอยู่ในสภาวะที่ทำงานได้อย่างไม่เต็มที่ สิ่งที่ภาครัฐต้องคำนึงและดำเนินการคือควรใช้มาตรการช่วยเหลือเยียวยาภาคเกษตรอย่างเร่งด่วน แต่ต้องเล็งให้ตรงเป้าไม่ใช่การเยียวยาแบบหว่านอย่างที่ผ่านๆมา เพราะสถานการณ์ตอนนี้ภาคเกษตรกำลังน่าเป็นห่วงที่สุด
"เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเป็นอีกปีที่เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพ โดยตัวเลขอัตราเจริญเติบโตที่เป็นบวกมาจากความโชคดีที่ปีที่แล้วอัตราเจริญเติบโตอยู่ในระดับต่ำมาก คือแค่ 0.7% เรียกได้ว่าเป็นความโตทางการคำนวณทางคณิตศาสตร์จากฐานที่ต่ำ มากกว่าจะเป็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง"
กลจักรสำคัญในปีนี้จะขึ้นอยู่กับการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐว่าสามารถทำได้ตามเป้าหมายมากน้อยเพียงใด และภาครัฐจะมีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเร่งด่วนเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดคาดว่าอัตราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้น่าจะอยู่ในช่วง 2.75-3.25%
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ จากหนี้ครัวเรือนซึ่งเกิดขึ้นจากนโยบายรถคันแรกน่าจะเริ่มครบกำหนด และการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ที่จะเข้ามาในขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ ปัจจัยสำคัญที่ชี้บ่งอนาคตของเศรษฐกิจในปีหน้าต้องจับตาดูว่าการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์จะสามารถดึงดูดทำให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนได้มากน้อยเพียงใด