โดยตลอดทั้งปีนี้ คือ ทั้งรอบการปลูกข้าวนาปรังและนาปีคิดเป็นผลกระทบในภาพรวม 68,000 ล้านบาท โดยปัญหาภัยแล้งถือเป็นจุดเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ดังนั้นหากรัฐบาลจะเยียวยาให้เศรษฐกิจโดยรวมโตได้ในกรอบ 3.5% ก็จะต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบถึง 70,000-100,000 ล้านบาท พร้อมกับการหามาตรการเยียวยาภาคเกษตรกรรมในชนบททั้งในกรณีเฉพาะหน้าและการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนด้วย
ทั้งนี้จากการสำรวจความคิดเห็นของเกษตรกร 1,200 คน ตลอดจนเกษตรจังหวัด 62 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า ชาวนาส่วนใหญ่กว่า 90% มองว่าสถานการณ์ภัยแล้งในปี 58 มีความรุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยผลผลิตและพื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหายค่อนข้างมาก ซึ่งผลกระทบส่วนใหญ่จะเกิดกับเกษตรกรรายย่อยที่มีการทำนาน้อยกว่า 20 ไร่ และส่วนใหญ่เป็นการเช่าที่นามากกว่าเป็นเจ้าของนาเอง
โดยผลกระทบจากภาวะภัยแล้งมากสุดใน 5 เรื่อง คือ ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น, ต้นทุนการหาแหล่งน้ำเพิ่มขึ้น, ปริมาณผลผลิตลดลง, รายได้จากการทำการเกษตรลดลง และหนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้แนวทางการปรับตัวจากผลกระทบภัยแล้งที่ส่วนใหญ่เกษตรกรเลือกใช้ คือ การขอความช่วยเหลือจากรัฐ, หาอาชีพอื่นทดแทน, หาแหล่งน้ำอื่นทดแทน และย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานในเมือง โดยสิ่งที่เกษตรกรต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือเร่งด่วนในขณะนี้ คือ การประกันราคาข้าว, การจ่ายเงินชดเชย และการลดต้นทุนการเกษตร ขณะที่รัฐบาลควรแก้ไขเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อเกษตรกรไทย คือ หามาตรการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร, การบริหารจัดการน้ำ, จัดอบรมเทคนิคทางการเกษตร, จัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น
ส่วนผลสำรวจความเห็นจากเกษตรจังหวัด 62 จังหวัด พบว่า ปัญหาภัยแล้งในรอบล่าสุดนี้ได้สร้างความเสียหายต่อพื้นที่ทางการเกษตร 25 จังหวัด โดยความเสียหายเฉลี่ยที่ 35% หรือราว 1 ใน 3 ของพื้นที่โดยรวม และเป็นความเสียหายจากฝนทิ้งช่วงที่เกิดขึ้นในระหว่างการหว่าน และปักดำ ซึ่งหากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายได้ในเดือนก.ย.ก็คาดว่าจะมีพื้นที่ทางการเกษตรเสียหายราว 10-12 ล้านไร่ คิดเป็น 12-15% จากพื้นที่โดยรวมทั้งหมดราว 60 ล้านไร่ หรือคิดเป็นจำนวนผลผลิตข้าวเสียหาย 4.6 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 35,000 ล้านบาท(คิดจากราคาข้าวเฉลี่ยที่ตันละ 7,697 บาท) กระทบต่อ GDP ปีนี้ให้ลดลง 0.27%
ขณะที่ความเสียหายจากปัญหาภัยแล้งในรอบแรกของปีซึ่งเป็นช่วงการปลูกข้าวนาปรังนั้น ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงไปราว 4.1 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านบาท(คิดจากราคาข้าวเฉลี่ยที่ตันละ 7,774 บาท) กระทบต่อ GDP ปีนี้ให้ลดลง 0.25%
"เมื่อรวมผลกระทบปัญหาภัยแล้งต่อการเพาะปลูกข้าวทั้งนาปรังและนาปีแล้ว คิดเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นประมาณ 68,000 ล้านบาท จากกำลังซื้อของภาคการเกษตรที่หายไป ทำให้เศรษฐกิจโตลดลง 0.52%...เดิมที่เราเคยมองไว้ว่าปีนี้ GDP จะโตได้ 3.2% ก็มีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นที่จะโตได้น้อยกว่า 3%" นายธนวรรธน์ กล่าว
พร้อมระบุว่า นอกจากปัญหาภัยแล้งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้แล้ว ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะปัญหาการชำระหนี้ของกรีซที่ขณะนี้ยังไม่มีทางออกหรือข้อสรุปที่ชัดเจน ทั้งนี้หากกรีซไม่สามารถชำระหนี้คืนแก่กลุ่มเจ้าหนี้ได้ และท้ายสุดกรีซจะต้องออกจากยูโรโซนนั้น ก็จะมีผลกระทบต่อสหภาพยุโรปรวมถึงเศรษฐกิจโลกได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงการส่งออกของไทยในปีนี้ก็มีโอกาสจะติดลบได้สูงถึง 3-4% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 1-2%