"ผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนถดถอยจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรไทยมากนัก แม้ไทยจะขาดดุลการค้ากับประเทศจีนมาตลอด แต่ด้านการส่งออกสินค้าเกษตรนั้นยังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งผลไม้ ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เนื่องจากโอกาสในการบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพของชาวจีน กำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้นสวนทางกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในภาพรวม และความสะดวกในการขนส่งสินค้า" นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ เลขาธิการ สศก.กล่าว
โดยปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปจีนหลายรายการ เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ยางพารา ทุเรียน มังคุด ลำไย เป็นต้น โดยในปี 57 มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 806,437.6 ล้านบาท และช่วง 5 เดือนแรก(ม.ค.-พ.ค.) ของปี 58 มีมูลค่า 309,359.2 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 57 ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 335,560.8 ล้านบาท โดยสินค้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลไม้และผัก(ทุเรียน มังคุด ลำไย) ข้าว และสินค้าอื่นๆ ขยายตัวเพิ่ม เนื่องจากประชากรของจีนมีรายได้เพิ่มขึ้น นิยมบริโภคสินค้า ขณะที่ปริมาณการส่งออกยางพาราเริ่มลดลง เนื่องจากมีการปลูกยางพาราในประเทศจีนเป็นจำนวนมาก และอยู่ในช่วงอายุที่เริ่มกรีดน้ำยางได้แล้ว ทำให้ความต้องการยางพาราของจีนลดลง
ขณะเดียวกันไทยมีแนวโน้มการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 57 มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค 1,251,528.3 ล้านบาท โดยสินค้าประเภทผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักและผลไม้มีมูลค่าการนำเข้าเป็นอันดับ 3 มูลค่า 21,227.5 ล้านบาท และช่วง 5 เดือนแรกของปี 58 นำเข้า 7,954.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับมาตรฐานการส่งออกผลไม้จากประเทศไทยไปจีนได้มีข้อตกลงอนุญาตให้นำเข้าผลไม้ 23 ชนิด คือ กล้วย มะเฟือง ส้มโอ ส้ม มะพร้าว น้อยหน่า ฝรั่ง ขนุน ลองกอง มะละกอ เสาวรส ชมพู่ เงาะ ละมุด สละ มะขาม ส้มเขียวหวาน สับปะรด มะม่วง ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่ และมังคุด โดยผลไม้ที่ส่งไปจีนจะต้องมีฉลาก และระบุข้อความตามข้อกำหนด คือ Fruit type, Origin และ Export to the People’s Republic of China ซึ่งข้อกำหนดในการนำเข้าผลไม้ 5 ชนิดตามพิธีสารความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชระหว่างไทยกับจีน คือ ผลไม้เขตร้อนของไทย 5 ชนิด ได้แก่ มะม่วง ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่ และมังคุด โดยผลไม้ดังกล่าวจะต้องปลอดจากศัตรูพืชควบคุมของจีน(Regulated Pests) และมีเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติต่าง เช่น ต้องมาจากแปลงปลูกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรดีที่เหมาะสม(GAP) และมาจากโรงคัดบรรจุที่ผ่านการรับรองคุณภาพและมาตรฐานตามระบบการผลิตที่ดี(GMP) จากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งผู้ส่งออกจะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ส่งออก พร้อมผ่านการตรวจสอบตามข้อที่กำหนดไว้ต่าง เป็นต้น
ส่วนกรณีการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนโดยผ่านประเทศที่ 3(ด่านตรวจพืชมุกดาหาร-ด่านผิงเสียง) ผู้ส่งออกสามารถศึกษาข้อมูลได้จากประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอและการออกใบรับรองสุขอนามัยพืชสาหรับผลไม้ที่ส่งออกผ่านประเทศที่สามเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ.2552 ส่วนกรณีการนำเข้าผักสดตามพิธีสารฯ ผักไทย-จีน นอกจากผักที่ส่งออกต้องมาจากแปลงปลูกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรดีที่เหมาะสม(GAP) แล้ว จะต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืชแนบ และมีสารตกค้างไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ซึ่งผักสดที่สามารถส่งออกได้มี 5 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผักรับประทานหัว ราก และหัวกลีบ 2) ผักรับประทานผล และถั่ว 3) ผักรับประทานใบ ดอก 4) เห็ด และ 5) ผักรับประทานหน่อ
เลขาธิการ สศก.กล่าวว่า ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้ฤดูกาลเริ่มเปลี่ยนแปลง ฝนตกล่าช้า การเกิดภัยแล้ง อุทกภัย เป็นต้น ทำให้ปริมาณการผลิตพืชลดลงไปด้วย ส่งผลราคาขายสินค้าเกษตรยังคงอยู่ในระดับดี ซึ่งหากมีผลกระทบจากความต้องการสินค้าจากจีนลดลงเกษตรกรก็ยังสามารถอยู่ได้
ทั้งนี้ ผลกระทบที่คาดว่าเกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของจีน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ทางรัฐบาลจะมีมาตรการให้ภาคเกษตรของไทยไม่ถดถอยไปกว่าเดิมอยู่แล้ว เช่น การส่งเสริมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 5 จังหวัด ซึ่งเป็นลู่ทางการค้าการลงทุน การส่งออก เพื่อให้ภาคการเกษตรขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ได้รับผลกระทบจากจีนเบาบางลง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการส่งเสริมการค้ากับจีนโดยเฉพาะ เพื่อผลักดันให้การค้าระหว่างไทย-จีนเพิ่มมากขึ้น การประชาสัมพันธ์สินค้าไทยให้เป็นที่รู้จัก แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อการปรับตัวของภาคเกษตรไทยที่ทันท่วงที ควรมีการติดตามการเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจของจีนอย่างใกล้ชิดต่อไป