รมว.เกษตรฯเผยปริมาณน้ำเจ้าพระยาเพิ่มหลังเกษตรกรหยุดสูบน้ำ,หาทางเยียวยา

ข่าวเศรษฐกิจ Saturday July 18, 2015 14:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น 12 เซนติเมตร หลังจากที่เกษตรกรหยุดการสูบน้ำเพื่อการเกษตร ทำให้กรมชลประทานสามารถระบายน้ำไปยังพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างได้เพิ่มมากขึ้น โดยจะรอประเมินปริมาณน้ำที่คงเหลืออยู่จริง เพื่อนำมาจัดสรรให้แก่พื้นที่เกษตรตามลำดับความสำคัญ โดยไม่ส่งผลกระทบกับปริมาณน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค พร้อมเร่งหามาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบต่อไป โดยเบื้องต้นพบพื้นที่ข้าวเสี่ยงได้รับความเสียหายประมาณ 1.4 ล้านไร่
"สถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา 22 จังหวัดหลังจากขอความร่วมมือเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 22 จังหวัด หยุดการสูบน้ำเพื่อการเกษตรเป็นการชั่วคราวมาตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่าทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น 12 เซนติเมตร ทำให้กรมชลประทานสามารถระบายน้ำไปยังพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างได้เพิ่มมากขึ้นสำหรับภาคการเกษตร แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องขอความร่วมมือเกษตรกรหยุดสูบน้ำอีก 2 วัน เพื่อประเมินปริมาณน้ำที่คงเหลืออยู่จริง เพื่อนำมาจัดสรรให้แก่พื้นที่เกษตรตามลำดับความสำคัญ โดยไม่ส่งผลกระทบกับปริมาณน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและผลักดันน้ำเค็มที่ปล่อยน้ำลงมาจาก 4 เขื่อนหลัก"นายปีติพงศ์ กล่าว

อนึ่ง วันนี้รมว.เกษตรฯ พร้อมด้วยนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และเพื่อการเกษตรในพื้นที่ จังหวัดปทุมธานี ณ สระเก็บน้ำพระราม 9 อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิชัยพัฒนา และลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์พื้นที่สุ่มเสี่ยงที่อาจจะขาดแคลนน้ำเพื่อพบปะเกษตรกรในพื้นที่ ต.หนองหมู อ.วิหารแดง จ.สระบุรี. จากนั้นได้รับฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ณ ประตูระบายน้ำพระศรีเสาวภาค โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักใต้ (ปากคลองระพีพัฒน์แยกใต้)

รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีที่ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าหลังจากนี้ไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งจากการติดตามปริมาณน้ำในสระน้ำพระราม 9 ที่มีความจุน้ำทั้งหมด 32 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 24 ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถระบายน้ำออกไปใช้ได้อีก 12 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเพียงพอกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่และโดยรอบสระเก็บน้ำ โดยมีพื้นที่ทางการเกษตร 2 หมื่นไร่ 700 ครัวเรือน

สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาภัยแล้ง โดยการดึงน้ำฝั่งตะวันตก จากเขื่อนศรีนครินทร์-วชิราลงกรณ์ โดยระบายผ่านคลองจรเข้สามพัน ลงแม่น้ำท่าจีนแล้วผันเข้าคลองผ่านประตูน้ำผักไห่-เจ้าเจ็ด ลงแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณบางไทรนั้นแม้ว่าสามารถทำได้ แต่ไม่อยากทำ เพราะทราบดีว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความจำเป็นต้องใช้น้ำเช่นกัน

ส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบนั้น จากข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศคาดว่าจะมีพื้นที่ข้าวเสี่ยงได้รับความเสียหายประมาณ 1.4 ล้านไร่ โดยในวันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคมนี้ กระทรวงเกษตรฯได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ เพื่อสำรวจว่าพื้นที่ใดบ้างสุ่มเสี่ยงที่อาจจะขาดแคลนน้ำที่ชัดเจน เช่น พื้นที่ที่ปลูกข้าวและอยู่ระหว่างต้นข้าวตั้งท้อง พื้นที่ที่ยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และพื้นที่ที่ปลูกข้าวหลังเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดก่อนจะประมวลผลเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือให้เหมาะสมแต่ละพื้นที่ต่อไป อย่างไรก็ตาม มาตรการช่วยเหลือตอนนี้ ประกอบด้วย 1. การจ้างงานเพื่อปรับปรุงระบบชลประทาน 2.สนับสนุนเกษตรกรหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อย เช่น ถั่วเขียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แทนการปลูกข้าว 3.ส่งเสริมการหารายได้เสริมในชุมชน ทั้งเพื่อการบริโภคในชุมชนและเหลือจำหน่าย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ