หลังจากนั้น รัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนาให้กับนักลงทุนจำนวนประมาณ 80 ราย โดยชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นภายหลังสถานการณ์การเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557 เป็นต้นมาขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องอย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ และภาวะภัยแล้งในประเทศ ซึ่งรัฐบาลดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ รัฐมนตรีได้กล่าวถึงแผนปฏิรูปเศรษฐกิจหลักที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 3 ด้าน คือ 1. การปฏิรูปภาษีเพื่อเศรษฐกิจไทยที่เข้มแข็งและเป็นธรรม อาทิ การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างถาวรมาอยู่ที่ร้อยละ 20 การลดหรือยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง เป็นต้น
2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง ลดปัญหาจราจร และเชื่อมโยงระบบคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน และได้เชิญชวนให้นักลงทุนมาร่วมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางตรงผ่านการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน และทางอ้อมผ่านการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
3. การขยายโอกาสการค้าการลงทุนจากไทยสู่ระดับภูมิภาคอาเซียน โดยปรับปรุงสิทธิประโยชน์ ซึ่งบีโอไอได้ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งสำนักงานข้ามชาติ (IHQ) และศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศในไทย (ITC) ผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล และจัดทำระบบเชื่อมโยงข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จ (National Single Window) เพื่อลดขั้นตอนการทำธุรกิจและรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลกับภูมิภาคในอนาคต
รมว.คลัง ยังได้กล่าวส่งท้ายถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร ตลอดจนภูมิภาคยุโรป โดยกิจกรรม Roadshow ครั้งนี้เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยประสานประโยชน์และยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อไป