ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเสนอว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ได้มีการประกาศใช้มาเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งมีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้ง ส่งผลให้มีพระราชบัญญัติศุลกากรหลายฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2480 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2480 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2482 และพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2497 ทำให้กฎหมายศุลกากรกระจัดกระจาย ไม่สะดวกในการใช้งาน สมควรปรับปรุงแก้ไขให้มีความทันสมัย และเหมาะสมกับการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน
ตลอดจนรวบรวมกฎหมายที่ใช้อยู่ทุกฉบับให้เป็นพระราชบัญญัติฉบับเดียว อีกทั้งยังสมควรปรับปรุงแก้ไขให้มีมาตรฐานสากลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ ในการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(ASEAN Economic Community) สมควรปรับปรุงแก้ไขและจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติศุลกากรเพียงฉบับเดียว
"เป็นการนำเอาพ.ร.บ.ศุลากร 24 ฉบับรวมเป็นฉบับเดียว เนื่องจากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ หรือนักธุรกิจ เวลาจะติดต่อหรือทำธุรกรรม ต้องไปดูว่าเกี่ยวข้องกับฉบับใด ทำให้เกิดความล่าช้า และไม่เป็นที่เชื่อมั่น เชื่อถือ" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
นอกจากนี้ ได้มีการปรับแก้สาระสำคัญบางประการ อาทิ การจ่ายเงินจับกุมการดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ จากอัตราตอบแทนเงินรางวัล 25% จากเงินที่ขายของกลางหรือค่าปรับ กระทรวงการคัลงมองว่าเยอะเกินไปจึงได้ปรับลดลงเหลือ 15% และกำหนดเพดานสูงสุดต้องไม่เกิน 5 ล้านบาท ส่วนผู้ที่นำจับ คงอัตรารางวัลไว้ที่ 30% และกำหนดเพดานสูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท
นอกจากนี้ มีการแก้ไขความผิดเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงอากร หรือข้อห้าม ข้อจำกัด การลักลอบหนีศุลกากร จากที่มีโทษเท่ากัน ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้ยกเอาฐานความผิดลักลอบหนีศุลกากร หนักกว่าการหลีกเลี่ยงอากร